

บทความต่างประเทศ
ศึกอิหร่าน-อิสราเอล
เมื่อ ‘คาเมนี’ ถูกต้อนเข้ามุม
สงคราม “ทางไกล” ระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล ศัตรูเก่าแก่ในภูมิภาคตะวันออกกลาง ย่างเข้าสู่วันที่หกเมื่อ 17 มิถุนายนที่ผ่านมา เมื่อมองอย่างผิวเผิน ดูเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากมายนักจากการถล่มซึ่งกันและกันด้วยขีปนาวุธจากระยะไกลและใกล้ (ด้วยขีปนาวุธจากเครื่องบินรบ)
แต่ในทัศนะของผู้เชี่ยวชาญด้านการทหาร ผลของสงคราม อย่างน้อยจนถึงขณะนี้ เอนเอียงไปในทางที่อิสราเอลกำลังได้เปรียบอย่างเอกอุ
การถือไพ่เหนือกว่าของอิสราเอลสะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อฝูงบินรบอิสราเอล สามารถ “ครองน่านฟ้า” เหนืออิหร่านได้แบบเบ็ดเสร็จ แทบไร้อุปสรรคใดๆ ในการขยายพื้นที่ ขยายขอบเขตการถล่มเป้าหมายที่ต้องการของตน แม้ว่าจะยังไม่สามารถปล่อย “หมัดน็อก” อย่างการทำลายที่ตั้งทางนิวเคลียร์ของอิหร่าน ซึ่งฝังอยู่ลึกลงไปใต้ดินก็ตามที แต่ก็สามารถจัดการกับอาคาร สถานที่ที่เกี่ยวข้องกับโครงการนิวเคลียร์, คลังขีปนาวุธ, นายพลระดับสูง และบรรดานักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ของอิหร่านได้สำเร็จ นอกเหนือจากเป้าหมายอื่นๆ อาทิ ระบบป้องกันทางอากาศของเตหะรานที่กลายเป็นอัมพาตไปแล้วในเวลานี้
กองทัพอิสราเอลประกาศการ “ครองน่านฟ้า” เหนืออิหร่านอย่างเงียบๆ เมื่อ 16 มิถุนายนที่ผ่านมา อุปมาความเหนือกว่าของฝ่ายตนให้เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจนว่า ฝูงบินรบของอิสราเอลสามารถปฏิบัติการไป-กลับระยะทางรวมราว 3,000 กิโลเมตรได้ตามใจปรารถนา ทำนองเดียวกับการบินถล่มเป้าหมายในกาซา หรือเลบานอน ยังไงยังงั้น
นายกรัฐมนตรีเบนยามิน เนทันยาฮู ระบุว่า การครองน่านฟ้าเหนืออิหร่านได้เท่ากับเป็นการ “พลิกเกม” ครั้งใหญ่ ในขณะที่ ซาชิ ฮาเนกบี ที่ปรึกษาความมั่นคงของอิสราเอลระบุว่า เครื่องบินรบฝ่ายตนสามารถปฏิบัติการโจมตีเป้าหมายเพิ่มขึ้นได้อีกมากมายนับไม่ถ้วน เมื่อหน่วยต่อต้านอากาศยานของเตหะรานถูกทำลายลง “เป็นสิบหรือหลายสิบหน่วย”
กระนั้น เป้าหมายสูงสุดที่ต้องการ คือการ “ถอนรากถอนโคน” โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ก็ยังเป็นไปไม่ได้ ถ้าหากไม่มีสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมด้วย โดยการส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์มาร่วมในปฏิบัติการครั้งนี้ พร้อมกับอาวุธที่มีศักยภาพในการเจาะทะลวงพื้นที่เป้าหมายที่อยู่ลึกลงไปใต้ดินมากๆ ได้
แอนเดรียส ครีก นักวิชาการอาวุโสประจำสำนักความมั่นคงศึกษาของมหาวิทยาลัย คอลเลจ ออฟ ลอนดอน ชี้ว่า อิสราเอลประสบความสำเร็จในเชิงปฏิบัติการและในเชิงยุทธวิธีเอามากๆ ในศึกครั้งนี้
แต่การเปลี่ยนความสำเร็จพวกนั้นให้กลายเป็นการบรรลุผลเชิงยุทธศาสตร์ยังจำเป็นต้องใช้มากกว่าพลานุภาพทางอากาศอย่างที่มีอยู่ในเวลานี้
เขาระบุว่า แม้แต่ “บังเกอร์ บัสเตอร์” ระเบิดชนิดพิเศษของสหรัฐอเมริการุ่นที่มีขนาดใหญ่สุด ทรงพลังที่สุด ก็อาจทะลวงลงไปไม่ถึงแหล่งนิวเคลียร์ใต้ดินที่ลึกที่สุดของอิหร่านได้
หากต้องการทำลายเป้าหมายเช่นนั้นจริงๆ อาจจำเป็นต้องใช้กองกำลังคอมมานโดร่วมปฏิบัติการด้วยทางภาคพื้นดิน
แหล่งข่าวทางทหารระบุว่า เครื่องบินรบอิสราเอลสามารถปฏิบัติการไปและกลับในระยะทางรวมราว 3,000 กิโลเมตรได้ โดยใช้การเติมน้ำมันกลางอากาศบริเวณน่านฟ้าเหนือประเทศซีเรีย ที่เดิมเคยอยู่ภายใต้อิทธิพลของอิหร่าน จนกระทั่งรัฐบาลบาชาร์ อัล อัสซาด ถูกโค่นล้มไปเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ทำให้อิสราเอลสามารถปฏิบัติการเหนือท้องฟ้าซีเรียได้ “แทบจะโดยเสรี”
ในขณะที่ตัวปฏิบัติการเอง ก็สามารถสร้างความเสียหายใหญ่หลวงให้กับโครงสร้างด้านความมั่นคงของอิหร่าน ทำนองเดียวกันกับที่เคยเกิดขึ้นกับการโจมตีเลบานอนเมื่อปี 2024 ที่ผ่านมา
โดยอิสราเอลสามารถทำลายกลุ่ม “แกนนำระดับสูงสุด” ของอิหร่านลงได้ รวมทั้งคนระดับผู้บัญชาการอย่าง ฮัสซัน นัสรัลเลาะห์ ในปฏิบัติการทางอากาศวันแรกๆ เท่านั้นเอง
แหล่งข่าวทางทหารระดับสูงในภูมิภาคบอกกับรอยเตอร์ ว่า ความสำเร็จของอิสราเอลในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเกิดจาก “เครือข่ายสายลับ” ที่น่าทึ่งที่อิสราเอลมีในเตหะราน ทำให้สามารถ “เจาะทะลวงอิหร่านจากภายใน” ได้สำเร็จชนิด “เซอร์ไพรส์”
ในขณะที่ จัสติน บร็องก์ นักวิจัยอิสระในลอนดอน ย้ำว่า อิหร่าน “มีศักยภาพทางเทคนิค” เพียงไม่กี่อย่างที่จะนำมาใช้ตอบโต้การปฏิบัติการสอดประสานกันของฝูงบินอิสราเอลระหว่างเอฟ-35 ที่มีอุปกรณ์แจมสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ของระบบป้องกันภัยทางอากาศ กับเครื่องบินรบสนับสนุนอย่างเอฟ-16 และเอฟ-15 ที่ติดตั้งจรวดนำวิถีที่แม่นยำสูงสุด
แต่เหนือสิ่งอื่นใด นักสังเกตการณ์ทางทหารยอมรับตรงกันว่า ความน่าทึ่ง ชวนเซอร์ไพรส์สูงสุดของปฏิบัติการครั้งนี้ อยู่ที่ความรวดเร็วขนาดใหญ่โตของการโจมตีและความมีประสิทธิภาพในการโจมตีของอิสราเอล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถล่มเป้าหมายที่คร่าชีวิตบรรดานายพลระดับสูงสุดของอิหร่าน ซึ่งรวมไปถึงบรรดา “ที่ปรึกษาหลักๆ” ของ อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมนี ผู้นำสูงสุดของอิหร่านจากกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติ ที่เป็น “หัวกะทิ” ของกองทัพอิหร่าน
หนึ่งในจำนวนนั้นก็คือนายทหารอย่าง ฮอสเซน ซาลามี ผู้บัญชาการกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติ อีกหนึ่งก็คือ อาเมียร์ อาลี ฮัจจิซาเดห์ ผู้บัญชาการการบินอวกาศของอิหร่านที่ดูแลโครงการขีปนาวุธพิสัยใกลข้ามทวีปของอิหร่านทั้งหมด และบุคคลสำคัญอย่าง โมฮัมหมัด คาเซมี ผู้บัญชาการหน่วยงานจารกรรม-ข่าวกรองของอิหร่าน
คนเหล่านี้เป็นคนสำคัญที่เป็น “คนวงใน” อยู่รอบตัวคาเมนี ซึ่งมีทั้งหมดราว 15-20 คน มีตั้งแต่ทหารโดยเฉพาะที่มาจากกองทัพพิทักษ์ปฏิวัติ, ผู้สอนศาสนา และนักการเมือง
การสูญเสียครั้งนี้ อุปมาประหนึ่ง อยาตอลเลาะห์ คาเมนี ถูกตัดแขนตัดขา โดยเฉพาะในส่วนที่ให้คำปรึกษาด้านความมั่นคงและข่าวกรอง ผู้นำสูงสุดของอิหร่านอาจรู้สึก “กลวงเปล่า” ขึ้นมาอย่างกะทันหัน ราวกับกำลังถูกต้อนให้จนมุมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยปราศจากหนทางตอบโต้ที่มีประสิทธิภาพ
แต่ อเล็กซ์ วาตันกา ผู้อำนวยการโครงการอิหร่านศึกษาประจำสถาบันตะวันออกกลางในวอชิงตันบอกว่า คุณลักษณะสำคัญสองประการของคาเมนีก็คือ หนึ่ง การเป็นคนดื้อ ดื้อแพ่งแบบสุดสุด กับอีกหนึ่ง คือการเป็นคนระมัดระวังจนถึงขีดสุดพร้อมกันไปด้วย ไม่เช่นนั้นคงไม่ครองอำนาจสูงสุดมายาวนานจนถึงขณะนี้
ถึงตอนนี้ อีกไม่นาน โลกก็น่าจะได้รับรู้กันแล้วว่า เมื่อจนมุม จนแต้มเข้าจริงๆ คนอย่าง อาลี คาเมนี จะเลือกใช้หนทางใดเป็นทางออกของตนเอง