

ศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี ได้เขียนข้อความเตือนถึงความพยายามผูกขาดองค์กรอิสระโดยกลุ่มการเมือง อาจทำให้องค์กรที่ควรเป็นกลาง กลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง ส่งผลให้การแข่งขันทางการเมืองไร้ความเป็นธรรม ขาดการตรวจสอบ และไร้ความรับผิดชอบ
โดยศ.ดร.สิริพรรณชี้ว่าโครงสร้างรัฐธรรมนูญไทยเปิดช่องให้วุฒิสภาชุดปัจจุบันมีอำนาจในการรับรองผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระถึง 33 จาก 42 ตำแหน่ง ในระยะ 5 ปีที่ดำรงตำแหน่ง ซึ่งหากไม่แก้รัฐธรรมนูญ ปัญหานี้จะหวนกลับมาอีกใน 4 ปีข้างหน้า พร้อมเน้นย้ำบทบาทของสมาชิกวุฒิสภาในการตรวจสอบกันเองตามมาตรา 82 เพื่อรักษาศักดิ์ศรีของสภา และเตือนว่าหากปล่อยให้การแทรกแซงดำเนินต่อไป ความเสียหายทางการเมืองอาจฝังรากลึกในสังคมไทยอย่างยากเยียวยา
มีรายละเอียดดังนี้
มีความพยายามยึดกุมผูกขาดองค์กรอิสระโดยบุคคลและพรรคการเมืองจริงหรือไม่
อันตรายหากองค์กรอิสระกลายเป็น “องค์กรภายใต้กำกับ” แทนที่จะเป็นองค์กรตรวจสอบที่ “เป็นอิสระจากการถูกแทรกแซงทางการเมือง” คือ พื้นที่การแข่งขันทางการเมืองจะปราศจากความเท่าเทียม เป็นธรรม และไม่มีหลักประกันความพร้อมรับผิดของบุคลากรและองค์การทางการเมือง ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้การเมืองไทยตกหล่มมาตลอดหลายปี
รัฐธรรมนูญไทย ออกแบบให้การรับรองและตรวจสอบเป็นวงจร การได้มาซึ่งองค์กรอิสระต้องผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภา เมื่อเข้ารับตำแหน่ง องค์กรอิสระมีอำนาจกำกับตรวจสอบวุฒิสภา
หากไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อีก 4 ปีข้างหน้า ปัญหาเรื่องที่มาของวุฒิสภาและองค์กรอิสระ จะกลับมาหลอกหลอนเราอีก
ตลอดวาระ 5 ปีที่ดำรงตำแหน่ง วุฒิสภาชุดนี้มีอำนาจรับรอง/ปัดตก ผู้ทำหน้าที่ในองค์กรอิสระและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญถึง 33 จาก 42 ตำแหน่ง
ในระบบที่การคานอำนาจไม่สมดุล เป็นหน้าที่ของสมาชิกวุฒิสภาที่จะตรวจสอบกันเองเพื่อธำรงรักษาศักดิ์ศรีของสภาที่ตนเป็นสมาชิก มาตรา 82 ของรัฐธรรมนูญจึงเปิดช่องให้ 1 ใน 10 ของสมาชิกแต่ละสภา มีสิทธิเข้าชื่อร้องต่อประธานแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิก ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของสมาชิกคนใดสิ้นสุดลง
นอกจากการสอบสวนคุณสมบัติและการเลือกกันเอง ที่ดำเนินอยู่โดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง และกรมสอบสวนคดีพิเศษแล้ว การกระทำและพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงในเรื่องต่าง ๆ ที่สมาชิกด้วยกันสังเกตเห็นได้ ก็อาจนำมาใช้เป็นข้อมูล ในการเขียนคำร้องเพื่อยืนยันว่าสมาชิกวุฒิสภาได้ใช้อำนาจตามกฎหมายกำหนดหรือไม่
รัฐธรรมนูญ มาตรา 113 สมาชิกวุฒิสภาต้องไม่ฝักใฝ่หรือยอมตนอยู่ใต้อาณัติของพรรคการเมืองใด ๆ
มาตรา 114 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมาย หรือความครอบงําใด ๆ
มาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ซึ่งใช้กับ ส.ส. สว. และคณะรัฐมนตรีด้วย “หมวดที่ 1 มาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นอุดมการณ์”
ข้อ 7 ต้องถือผลประโยขน์ของประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน
ข้อ 8 ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบเพื่อตนเองหรือผู้อื่น หรือมีพฤติกรรมที่รู้เห็นยินยอมให้ผู้อื่นใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ
ความยากอยู่ที่
1) ประธานวุฒิสภาจะส่งคําร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญไหม
2) ศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องหรือไม่
หากศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องไว้พิจารณา และ “ปรากฏเหตุอันควรสงสัย”
ว่าวุฒิสมาชิกผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้องจะมีคําสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ทุกประการ หรือเฉพาะบางส่วน ตามที่ได้วางแนวคำวินิจฉัยไว้ในกรณีรัฐมนตรียุติธรรม คุณทวี สอดส่อง
ในประเด็นนี้ เห็นว่า ศาลตีความรัฐธรรมนูญในลักษณะจำกัดขอบเขตอำนาจที่ใช้ เพื่อไม่สร้างแรงกระเพื่อมทางการเมืองโดยไม่จำเป็น ซึ่งที่ผ่านมา ไม่ค่อยเห็น
มาตรา 27 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ให้ศาลใช้ระบบไต่สวนในการค้นหาความจริง
มีหลายท่าน “ได้ยินมากับหู” ว่าผู้อยู่เบื้องหลังมีปฏิบัติการอย่างไร แม้จะทำในที่เงียบ แต่เสียงกลับดังอื้ออึงได้ยินไปทั่ว
เรามีหน้าที่และสำนึกในความถูกต้อง ที่จะช่วยกันขยับเส้นที่ล้ำจากมาตรฐานการเมืองที่ดี ให้กลับมาตรง
มิเช่นนั้น ความเสียหายจะอยู่กับประเทศไทยยาวนานและยากเกินกว่าจะเยียวยาได้