
ส่องความเห็นนักวิชาการเตือน “แพทองธาร” อย่ายุบสภา หวั่นเปิดทางรัฐประหาร – ชี้การเจรจาลับหากช่วยหลีกเลี่ยงสงคราม ชี้สังคมไทยควรตั้งสติ-อย่าตกเป็นเครื่องมือสร้างวิกฤต

ส่องความเห็นนักวิชาการเตือน “แพทองธาร” อย่ายุบสภา หวั่นเปิดทางรัฐประหาร – ชี้การเจรจาลับหากช่วยหลีกเลี่ยงสงคราม ชี้สังคมไทยควรตั้งสติ-อย่าตกเป็นเครื่องมือสร้างวิกฤต
กระแสคลิปเสียงหลุดการสนทนาระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ยังคงจุดประกายการถกเถียงในหมู่สาธารณชนและนักวิชาการ ถึงความเหมาะสมของท่าทีผู้นำประเทศ ท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดน และกระแสเรียกร้องให้รัฐบาลตัดสินใจ “ยุบสภา” เพื่อคลี่คลายปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง
นักวิชาการอิสระหลายคนออกมาเตือนว่า การยุบสภาในเวลานี้อาจสร้างผลกระทบในวงกว้าง ไม่เพียงต่อเสถียรภาพทางการเมือง แต่ยังอาจเป็นการเปิดทางให้กลุ่มที่มีแนวคิดล้มระบอบรัฐสภาใช้เป็นเงื่อนไขในการรัฐประหาร ขณะเดียวกัน หลายฝ่ายมองว่าสาระในคลิปไม่ได้ชี้ชัดถึงการยอมลดอธิปไตย และไม่ควรตัดสินภาพรวมของสถานการณ์จากประโยคเพียงไม่กี่ประโยคที่ถูกปล่อยโดยฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง
“ลอย ชุนพงษ์ทอง” – ผู้นำต้องกล้าคุยลับเพื่อดับไฟ สังคมอย่าหลงดราม่า-ห่วงคะแนนเสียงไม่ใช่บาปการเมือง
ลอย ชุนพงษ์ทอง นักวิชาการอิสระ ระบุว่า แม้ตนเองจะเคยวิจารณ์รัฐบาลชุดนี้หลายครั้ง โดยเฉพาะนโยบายด้านเศรษฐกิจอย่างโครงการแจกเงินดิจิทัล แต่ในกรณีคลิปเสียง นายกรัฐมนตรีทำในสิ่งที่ “ถูกต้องแล้ว” เพราะการใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวเพื่อลดความขัดแย้งเป็นทางเลือกที่สร้างสรรค์กว่าการโต้ตอบกันผ่านสื่อ ซึ่งอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดและขยายความรุนแรง
“ถ้าผมเป็นนายกฯ ก็จะทำแบบเดียวกัน เพราะมันไม่มีอะไรในคลิปที่แลกอธิปไตยหรือผลประโยชน์ประเทศกับเรื่องส่วนตัว” ลอยกล่าว พร้อมเตือนประชาชนว่าอย่าหลงประเด็นที่ไม่ใช่สาระสำคัญ เช่น ภาษาพูดที่ฟังดูเหมือน “อ่อนข้อ” ซึ่งในเวทีเจรจาทูตเป็นเรื่องปกติ
เขายังชี้ว่าการพูดว่า “อยากให้ทำอะไร ก็บอก จะทำให้” ไม่ใช่คำมั่นสัญญา แต่เป็นเพียงถ้อยคำสร้างความสบายใจให้คู่เจรจา และแม้จะดูหลวมในเชิงภาษาการทูต แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรดราม่าจนทำลายภาพรวม
ในเรื่องที่ถูกวิจารณ์ว่าผู้นำกังวลคะแนนนิยม ลอยมองว่านั่นคือ “ธรรมชาติของนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตย” โดยเฉพาะในประเทศที่ยังพึ่งพาสื่อสังคมออนไลน์และมีโครงสร้างทางการเมืองเปราะบาง เขาย้ำว่า “ใครเป็นนักการเมืองก็ต้องห่วงเสียงประชาชน”
สำหรับประเด็นที่นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 ในคลิปเสียงว่า “ไม่ใช่ฝ่ายเรา” หรือ “พูดเอาเท่ห์” ลอยอธิบายว่า บริบทคือการแบ่งฝ่ายเชิงนโยบายระหว่างกลุ่มที่อยากเปิดพรมแดนเพื่อฟื้นเศรษฐกิจ กับกลุ่มที่ห่วงความมั่นคง และถ้อยคำเหล่านั้นเป็นเพียง “การพูดทางลับ” ไม่ใช่การให้ร้ายผู้ใต้บังคับบัญชาในที่สาธารณะ
อย่างไรก็ตาม ลอยเสนอให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบวินัยและธรรมเนียมราชการทหารว่า แม่ทัพภาคที่ 2 แสดงความเห็นต่อรัฐบาลในเครื่องแบบโดยตรงนั้น “เกินหน้าที่หรือไม่” เพราะในหลักการสากล ทหารไม่ควรแสดงความเห็นแทรกการทำงานของฝ่ายบริหาร โดยเฉพาะในสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างประเทศ
ข้อเสนอ 3 ประการต่อนายกรัฐมนตรี จากลอย ชุนพงษ์ทอง
- ประกาศปิดด่านชั่วคราวทุกจุด เริ่มวันที่ 20 กรกฎาคม พร้อมเปิดโอกาสให้ประชาชนทั้งสองฝั่งเตรียมตัว และตั้งคณะกรรมการเจรจาระดับทวิภาคี
- เว้นระยะห่างทางการเมืองส่วนตัวกับฮุน เซน จนกว่าการเลือกตั้งในกัมพูชาจะเสร็จสิ้น เพื่อย้ำหลักความเป็นรัฐชาติ
- กำหนดแนวทางให้เจ้าหน้าที่รัฐ รวมถึงทหาร แสดงความเห็นได้เฉพาะในฐานะพลเรือน เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของรัฐที่มีเอกภาพ ไม่ให้เป็นจุดอ่อนให้เพื่อนบ้านใช้โจมตี
“ทัศนัย เศรษฐเสรี” – ยุบสภาตอนนี้คือ “เสียทั้งกระดาน” – พรรคประชาชนต้องแสดงสปิริตร่วมแก้วิกฤต
ทัศนัย เศรษฐเสรี อาจารย์ภาควิชาสื่อศิลปะและการออกแบบสื่อ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มองว่า พรรคเพื่อไทย “ยังยุบสภาไม่ได้” ในสถานการณ์เช่นนี้ แม้จะมีสิทธิทำได้ตามรัฐธรรมนูญ เพราะอาจส่งผลให้เกิดความวุ่นวายทางการเมืองตามมาโดยไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่มั่นคงได้จริง และอาจกระตุ้นให้เกิดรัฐประหารซ้ำรอยเดิม
“คนที่พูดว่าไม่มีหรอกไอ้รัฐประหารเนี่ย ก็ต้องระวังด้วย เพราะที่ผ่านมา มันเกิดทุกครั้งโดยไม่มีเงื่อนไขอะไรเลยที่คิดว่าจะเกิด” เขากล่าว พร้อมชี้ว่า พรรคประชาชนควรใช้โอกาสนี้แสดง “สปิริตร่วมทาง” ไม่ใช่เพื่อการเลือกตั้ง แต่เพื่อช่วยประคับประคองประเทศในภาวะวิกฤต
เขาระบุว่า ความพยายามของพรรคใดก็ตามที่จะถอนตัวออกจากรัฐบาลเพื่อสร้างความชอบธรรมในการยุบสภา จะยิ่งแสดง “ความเหี้ยน” ออกมาอย่างชัดเจน เพราะเป้าหมายควรเป็นการช่วยให้ประเทศเดินหน้าต่อได้ ไม่ใช่เปิดทางให้กลุ่มที่ต้องการล้มล้างรัฐธรรมนูญเข้ายึดอำนาจ
“ดร.ธาริตา อินทนาม” – ควรให้เวลาผู้นำแก้ปัญหา – อย่าด่วนตัดสินจากคลิปที่ไม่มีผลทางกฎหมาย
อ.ดร.ธาริตา อินทนาม อาจารย์ประจำสาขาวิชาภาษาและวรรณคดีอังกฤษ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ว่า ประเด็นคลิปเสียงควรถูกตั้งคำถามในกรอบของ “การเมืองประชาธิปไตย” ไม่ใช่ใช้ความโกรธชั่ววูบไปสร้างกระแสเกลียดผู้นำเพียงเพราะเป็นลูกของอดีตนายกรัฐมนตรีที่ตนเองไม่ชอบ
เธอระบุว่า แม้นายกรัฐมนตรีอาจมีถ้อยคำที่ฟังดูอ่อนน้อมจนบางคนมองว่า “เสียศักดิ์ศรี” แต่หากพิจารณาโดยรอบด้าน ยังไม่มีความเสียหายจริงเกิดขึ้น ไม่มีสงคราม ไม่มีผู้บาดเจ็บ ไม่มีการประกาศกฎอัยการศึก และรัฐบาลก็ยังไม่ได้ดำเนินการใดที่ลดทอนอธิปไตยไทยอย่างเป็นทางการ
“ผู้นำประเทศที่ลดศักดิ์ศรีตัวเองได้เพียงเพื่อไม่ให้เกิดการเสียเลือดเสียเนื้อ ยังไงก็ควรให้เขาได้มีโอกาสแก้ไข” เธอกล่าว พร้อมเตือนว่า คลิปเสียงไม่ใช่เอกสารราชการ ไม่มีผลผูกพัน และแม้นายกฯ อยาก “ขายชาติ” อย่างที่ถูกกล่าวหา ก็ไม่สามารถทำได้โดยลำพัง เพราะทุกนโยบายต้องผ่านการกลั่นกรองจากสภาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ดร.ธาริตายังชี้ว่า เราอาจโกรธเพราะรู้สึกอับอายที่เห็นผู้นำ “อ่อนข้อ” ต่อเพื่อนบ้านที่เคยหักหลัง แต่ความอับอายนั้นไม่ควรผลักให้ประเทศเข้าสู่วงจรสงครามโดยใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล
ทั้งนี้ แม้สังคมยังถกเถียงเรื่องความเหมาะสมของการเจรจาในคลิปเสียงหลุด แต่นักวิชาการหลายฝ่ายย้ำชัดว่า ประเทศไทยควรใช้สติและกลไกทางการเมืองอย่างสภาเป็นเครื่องมือจัดการปัญหา มากกว่าการยุบสภาอย่างฉับพลันหรือเปิดทางให้กองทัพเข้ามาแทรกแซง ความเห็นต่างสามารถถกเถียงได้ แต่อย่าปล่อยให้ความแตกแยกเปิดประตูสู่การล้มระบอบ