ทั้งสะสางปัญหากัมพูชา ทั้งปราบแก๊งโจรไซเบอร์ ไทยประกาศเป็นเจ้าภาพ ทลายศูนย์อาชญากรโลก
อาชญากรรม | อาชญา ข่าวสด
ทั้งสะสางปัญหากัมพูชา
ทั้งปราบแก๊งโจรไซเบอร์
ไทยประกาศเป็นเจ้าภาพ
ทลายศูนย์อาชญากรโลก
ท่ามกลางปัญหาความขัดแย้งเรื่องพรมแดนระหว่างไทย-กัมพูชาที่ยังคงคุกรุ่น ขณะที่ไทยกดดันกัมพูชาให้กลับมาแก้ปัญหาด้วยการเจรจาพูดคุยกันระหว่าง 2 ประเทศ ด้วยการปิดด่านชายแดน ห้ามบุคคลผ่านเข้าออก ทำให้พบว่าคดีหลอกลวงโดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
สอดรับกับรายงานของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ที่ออกมาเมื่อไม่นานมานี้ ที่ว่ากัมพูชาเป็นศูนย์กลางของกลุ่มอาชญากรข้ามชาติ อาชญากรรมทางไซเบอร์ และการฉ้อโกงทางออนไลน์ รวมทั้งรายงานข่าวที่ว่าอเมริกาจ่อแบนพลเมืองกัมพูชา ห้ามเข้าประเทศ หลังรัฐบาลทรัมป์แบน Huione Group บริษัทของหลานชายฮุน เซน ที่พบว่ามีการฟอกเงินถึง 1.24 แสนล้านบาท ให้กลุ่มอาชญากร แฮกเกอร์ และสแกมเมอร์
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยเมื่อวันที่ 19 มิถุนายนว่า รายงานของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) เกี่ยวกับกลุ่มอาชญากรข้ามชาติ อาชญากรรมทางไซเบอร์ และการฉ้อโกงทางออนไลน์ มีฐานปฏิบัติหลายแห่งตามแนวชายแดนกัมพูชา-ไทย โดยเฉพาะเมืองปอยเปต ตรงข้ามกับ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เป็นพื้นที่สำคัญของเครือข่ายอาชญากรสแกมเซ็นเตอร์ (Scam Centers) เป็นแหล่งรายได้หลักของกัมพูชา หรือคิดเป็นร้อยละ 80 ที่เป็นรายได้หลักของประเทศ
นายประเสริฐระบุว่า สถิติการแจ้งความออนไลน์มีแนวโน้มลดลงในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องการเปิด-ปิดด่าน จากเดิมประมาณ 1,300 ราย เหลือ 900 ราย ในวันที่ 8 มิถุนายน หรือหลังไทยปิดด่านได้เพียง 1 วัน ถึงแม้ในบางช่วงจะมีสถิติแนวโน้มเพิ่มกลับขึ้นมา แต่ยังคงต่ำกว่าช่วงที่ยังไม่มีการปิดด่าน และกลับมาลดลงหลังจากมีคำสั่งห้ามคนไทยข้ามไปทำงานที่กัมพูชา
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นำทีมแถลงมาตรการจัดการปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ภายหลังเรียกประชุมหน่วยงานความมั่นคง ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 23 มิถุนายนว่า ข้อมูลจากสหประชาชาติ กัมพูชาถือเป็นแหล่งศูนย์รวมอาชญากรรมระดับโลก เป็นภัยต่อความมั่นคงระดับโลก ซึ่งมีมูลค่ากว่า 6 แสนล้านบาท 40-60% ของ GDP กัมพูชา มาจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และมีเรื่องของการฟอกเงินที่มีมาอย่างต่อเนื่อง
ผลประชุมหน่วยงานของความมั่นคงกำหนดมาตรการดังนี้ เรื่องความมั่นคง จะเพิ่มความเข้มงวดการควบคุมการเข้าออกจุดผ่านแดน ทั้งการจำกัดการเปิดปิดจุดผ่านแดนทั้ง 7 จังหวัด ห้ามรถยนต์และบุคคลภายนอก ยกเว้นกรณีมีเหตุจำเป็น อย่างนักเรียนนักศึกษาที่ต้องข้ามเข้ามา หรือผู้ป่วยที่ต้องข้ามมาโรงพยาบาล พร้อมทั้งห้ามนักท่องเที่ยวต่างชาติข้ามไปเล่นการพนัน และเข้มงวดการเดินทางทางเครื่องบิน
ด้านอาชญากรรมเทคโนโลยี กระทรวงดีอีเร่งตรวจสอบบัญชีม้าและเส้นทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ รวมถึงการระงับอินเตอร์เน็ตและสายเคเบิลอินเตอร์เน็ตใต้น้ำที่ไปยังหน่วยงานทางทหารของกัมพูชาทั้งหมด ร่วมมือกับ กปง. กำหนดมาตรการคว่ำบาตรอาชญากรรมข้ามชาติ ในเรื่องการฟอกเงินหรือยึดอายัดทรัพย์ ส่วนเรื่องการส่งออกไฟฟ้า-น้ำมัน ให้ระงับสินค้าที่เกื้อหนุนต่อกิจกรรมของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกไฟฟ้า-น้ำมันไปยังกัมพูชา
กระทรวงพาณิชย์ ให้มีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและ SME ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ โดยขอความร่วมมือจากภาครัฐและภาคเอกชนในการซื้อสินค้า ด้านการประสานความร่วมมือกับนานาชาติ กระทรวงการต่างประเทศประสานความร่วมมือประเทศต่างๆ และองค์กรระหว่างประเทศในการปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยไทยเสนอตัวเป็นศูนย์กลางในการปฏิบัติร่วม
น.ส.แพทองธารกำชับให้ทุกภาคส่วนกำหนดไทม์ไลน์ KPI ในการกำหนดมาตรการอย่างชัดเจนภายใน 3 เดือนจะต้องเห็นผลอย่างชัดเจน
“จะเห็นได้ว่าตั้งแต่มีมาตรการตัดน้ำตัดไฟของเมียนมา ทำให้ตัวเลขของแก๊งคอลเซ็นเตอร์เสียหายประมาณ 3,000 ล้าน การแจ้งความแก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด พบว่าแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติย้ายถิ่นฐานจากเมียนมาเข้ากัมพูชาเพิ่มขึ้น ต้องป้องกันปราบปรามในส่วนคนไทยที่จะถูกหลอกในอนาคตข้างหน้าด้วย” นายกรัฐมนตรีกล่าว
ขณะที่มาตรการป้องกันภัยจากแก๊งคอลฯ นอกประเทศดำเนินไปอย่างเข้มข้น สิ่งที่วางใจไม่ได้คืออาชญากรที่ลักลอบเข้ามาใช้ประเทศไทยเป็นฐานก่อเหตุ ซึ่ง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็สั่งการให้ทุกหน่วงงานในสังกัดดำเนินการปราบปรามอย่างเข้มข้นมาตลอด
โดยเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ต.อ.ทรงวุฒิ เชื้อพลากิจ ผกก.2 บก.ทท.1, พ.ต.ท.ต่อลาภ ตินะมาตร สวญ.ส.ทท.4 กก.2 บก.ทท.1, พ.ต.อ.นภัสพงษ์ โฆษิตสุริยมณี ผกก.ตม.จว.ชลบุรี, พ.ต.อ.สราวุธ นุชนารถ ผกก.สภ.บางละมุง สนธิกำลังตำรวจกว่า 50 นาย เข้าปิดล้อมบ้านพูลวิลล่าหรูหลังหนึ่งใน ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี หลังได้รับการประสานจากสถานทูตเกาหลีใต้ประจำประเทศไทย ว่ามีพ่อชาวเกาหลีใต้แจ้งว่าลูกชายถูกลักพาตัวมายังบ้านหลังดังกล่าว เกรงว่าจะเกิดเรื่องไม่ดี
เจ้าหน้าที่พบว่าบ้านพูลวิลล่าดังกล่าวเป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น มีเนื้อที่กว่า 90 ตารางวา มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดรอบบ้าน ตำรวจจึงแสดงตัวขอตรวจค้น ซึ่งในขณะนั้นมีกลุ่มชาวต่างชาติ เป็นชาวเกาหลีใต้ เกือบ 20 คน นั่งรวมตัวอยู่ พอเห็นตำรวจก็พากันวิ่งแตกฮือหนีออกจากบ้านไปคนละทิศละทาง
โดยนายโจ ยงแจ อายุ 30 ปี กระโดดหนีจากชั้น 2 ตกลงมากระแทกพื้นอย่างรุนแรงจนได้รับบาดเจ็บแขนหัก ตำรวจจึงประสานเจ้าที่หน่วยกู้ภัยมูลนิธิสว่างบริบูรณ์ธรรมสถานเมืองพัทยา มาทำการรับตัวไปส่งโรงพยาบาล
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มชาวเกาหลีใต้วิ่งหนีกระโดดออกไปทางด้านหลังบ้าน 3 คน ตำรวจสามารถติดตามตัวกลับมาได้ทั้งหมด
พ.ต.อ.ทรงวุฒิเปิดเผยว่า บุคคลที่ถูกควบคุมตัวได้ภายในบ้านมีทั้งสิ้น 21 คน เป็นผู้ชายทั้งหมด โดยแบ่งเป็นชาวเกาหลีใต้ 20 คน และคนจีน 1 คน
ส่วนชาวเกาหลีใต้ที่ถูกลักพาตัวมา จากการพิสูจน์ทราบยืนยันว่า บุคคลดังกล่าวมีตัวตนอยู่จริง และกำลังนั่งทำงานรวมอยู่กับชาวเกาหลีใต้คนอื่นๆ
ตำรวจยังพบหลักฐานสำคัญ คือกระดานไวต์บอร์ด ถูกเขียนด้วยภาษาเกาหลี ข้อความลักษณะเชิญชวนลงทุนให้เล่นหุ้น รวมถึงอัตราค่าตอบแทนที่มีมูลค่าสูงถึง 500 ล้านวอน หรือคิดเป็นเงินไทยเกือบ 12 ล้านบาท และข้อความในลักษณะหว่านล้อมหลอกเหยื่อให้หลงรัก หลงเชื่อ แล้วใช้เล่ห์ลวงให้โอนเงินให้ ตำรวจจึงได้ตรวจยึดไว้ตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง
จากแนวทางการสืบสวนสอบสวนในเบื้องต้น สันนิษฐานว่ากลุ่มดังกล่าวน่าจะเพิ่งย้ายฐานมาจากที่อื่น และอาจเป็นไปได้ว่าน่าจะย้ายมาจากเขตชายแดนกัมพูชา หลังจากที่ถูกรัฐบาลไทยกดดันอย่างหนัก จนมาสร้างฐานในประเทศไทย
ล่าสุด รัฐบาลไทยยังยกระดับการปราบปรามแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติขึ้นไปอีกขั้น โดยแสดงความพร้อมที่จะเป็นศูนย์กลางในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติในภูมิภาค ให้ประชาคมโลกได้รับทราบ
โดยเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ใช้โอกาสที่นางโอเดรย์ อาซูเลย์ ผู้อำนวยการใหญ่องค์การยูเนสโก ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุม The 3rd UNESCO Global Forum on the Ethics of AI 2025 (GFEAI 2025) ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ร่วมหารือกันถึงปัญหาต่างๆ หนึ่งในนั้นคือปัญหาในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์, สแกมเมอร์ และอาชญากรรมข้ามชาติ
จากนั้น น.ส.แพทองธารโพสต์ข้อความทางโซเชียลมีเดียถึงผลการหารือตอนหนึ่งระบุว่า ได้ใช้โอกาสนี้แลกเปลี่ยนเรื่องการใช้ AI ปราบปรามสแกมเมอร์และอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งวาระใหญ่ร่วมกันของโลกในวันนี้ เราได้ประกาศความพร้อมเป็นศูนย์กลางในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติในภูมิภาค โดยวันนี้ทุกประเทศได้ให้ความร่วมมือ ทางยูเนสโกพร้อมสนับสนุนข้อมูล องค์ความรู้ ตลอดจนเทคโนโลยีที่จะใช้ในการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ เพื่อให้การใช้ AI เป็นไปอย่างมีจริยธรรม ไม่ก่อให้เกิดผลเสียทางเศรษฐกิจและสังคม
ประเทศไทยพร้อมจับมือกับทุกภาคส่วน ทั้งระดับประเทศและนานาชาติ ผลักดันให้ไทยเป็นหนึ่งในผู้เล่นหลักด้าน AI และใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่พี่น้องประชาชน
ในจังหวะที่ไทยกำลังจัดการกับปัญหาเพื่อนบ้าน เป็นโอกาสอันดีที่จะได้จัดการภัยแก๊งอาชญากรออนไลน์ ที่คุกคามคนไปทั่วทั้งโลก ประกาศตัวเป็นเจ้าภาพร่วมกับนานาชาติ ทลายศูนย์กลางโจรไซเบอร์โลกอย่างจริงจัง
