
ศาสตราจารย์ ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ มองนักกฎหมายรุ่นใหม่คือกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนความยุติธรรมและสร้างความเปลี่ยนแปลงของประเทศ

ในสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กฎหมายเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความเป็นธรรมและรักษาความสมดุลของสังคม การปรับปรุงและพัฒนากฎหมายให้ทันสมัยจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีและเศรษฐกิจโลกก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว การออกแบบกฎหมายให้สอดคล้องกับความต้องการของสังคม ไม่เพียงแต่ช่วยให้ระบบยุติธรรมมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ยังเป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับอนาคตของประเทศ
เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) ได้จัดพิธีประสาทปริญญาบัตรแก่บัณฑิตผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีและปริญญาโท นอกจากเป็นวันแห่งความภาคภูมิใจของบัณฑิตและครอบครัวแล้ว พิธีในครั้งนี้ยังเป็นโอกาสสำคัญในการเชิดชูบุคคลที่มีคุณูปการต่อวงการกฎหมายไทย โดยได้มีการมอบปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชานิติศาสตร์แก่ ศาสตราจารย์ ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญที่มีบทบาทในการพัฒนากฎหมายและระบบยุติธรรมของประเทศ
การได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นเกียรติประวัติของ ศาสตราจารย์ ดร.สุรพล เท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องยืนยันถึงบทบาทของท่านในการผลักดันให้กฎหมายไทยก้าวไปข้างหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลก ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจดิจิทัล ความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ หรือการพัฒนากฎหมายเพื่อความยั่งยืนของสังคมและสิ่งแวดล้อม การได้รับเกียรติในครั้งนี้สะท้อนถึงคุณค่าของการอุทิศตนเพื่อพัฒนาวงการกฎหมาย และยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักกฎหมายรุ่นใหม่ในการเดินหน้าสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีให้กับประเทศ
ศาสตราจารย์ ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ เป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ท่านได้กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับปริญญาดังกล่าว เนื่องจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้ก่อตั้งโดย ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์ อดีตอธิการบดี ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นสถาบันที่ตนเองได้ทำงานและใช้ชีวิตทางวิชาการมาโดยตลอด
นอกจากนี้มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ยังใช้ชื่อว่า “คณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์” ทำให้การได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ในครั้งนี้ถือเป็นเกียรติอย่างสูงในฐานะนักกฎหมาย อีกทั้งมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ไม่ได้มอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ให้กับบุคคลทั่วไปบ่อยนัก การได้รับการเสนอชื่อและได้รับปริญญาในครั้งนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
ศาสตราจารย์ ดร.สุรพล กล่าวถึงปัญหาของระบบกฎหมายในปัจจุบันว่า ประชาชนให้ความไว้วางใจและเชื่อมั่นในระบบกฎหมายน้อยลงมาก ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากปัญหาภายในวงการนักกฎหมายเองที่ทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่น ทั้งที่กฎหมายควรเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความเป็นธรรมในสังคม หากปราศจากกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน สังคมจะไม่สามารถดำรงอยู่ได้อย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นด้านธุรกิจ การทำงาน การลงทุน หรือแม้กระทั่งการบริหารราชการและการตัดสินใจเชิงนโยบายของประเทศ
“ปัญหาที่พบคือ มีผู้กระทำผิดแต่ได้รับการยกเว้นโทษ ขณะที่ผู้บริสุทธิ์กลับต้องรับโทษจากช่องโหว่ของกฎหมาย สิ่งเหล่านี้ทำให้ประชาชนไม่ไว้วางใจในกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมาย ดังนั้นเราจะทำอย่างไรให้ประชาชนเชื่อมั่นว่ากฎหมายมีอยู่จริง ความยุติธรรมสามารถเกิดขึ้นได้ และผู้กระทำผิดต้องได้รับโทษตามสมควร ในขณะที่ผู้บริสุทธิ์ต้องได้รับการคุ้มครอง”
ศาสตราจารย์ ดร.สุรพล ยังกล่าวถึงองค์กรที่ทำหน้าที่วินิจฉัยชี้ขาดและคนที่ทำหน้าที่บังคับใช้กฎหมายว่า มีความบกพร่องอย่างเห็นได้ชัดในสายตาประชาชน จนทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจต่อระบบ เช่น ความไม่แน่ใจว่าตำรวจจะรักษาความเป็นธรรมได้ หรือไม่ไว้วางใจว่าขึ้นศาลแล้วจะตัดสินคดีอย่างยุติธรรม รวมถึงกระบวนการบังคับใช้คำพิพากษาจะเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
“เราต้องฝากความหวังไว้กับนักกฎหมายรุ่นใหม่ พวกเขาต้องยึดมั่นในหลักของกฎหมาย ต้องคงเส้นคงวาไม่โอนเอียงตามอำนาจ อิทธิพล หรือกำลังในทางเศรษฐกิจของผู้คน หากไม่มีใครรักษาระบบกฎหมายไว้ สุดท้ายประเทศก็จะขาดความยุติธรรม ขาดความมั่นใจในการลงทุน และขาดเสถียรภาพ อนาคตของประเทศก็จะเดินต่อไปไม่ได้”
แม้จะมองเห็นปัญหาในวงการกฎหมายปัจจุบัน แต่ ศาสตราจารย์ ดร.สุรพล ยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพของนักกฎหมายรุ่นใหม่ และมั่นใจว่านักกฎหมายรุ่นใหม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมได้ ต่างจากคนรุ่นก่อนที่ต้องยอมรับว่า ต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อปัญหาปัจจุบัน หวังว่าคนรุ่นใหม่จะทำให้สิ่งต่างๆ ดีขึ้นได้ และนักกฎหมายรุ่นเก่าที่ตระหนักถึงปัญหาก็ควรยืนหยัดเป็นหลักให้นักกฎหมายรุ่นใหม่ รักษาหลักการทางกฎหมายให้มั่นคง ไม่หวั่นไหวต่ออิทธิพลทางการเงินหรืออำนาจทางเศรษฐกิจ
“ปัญหาที่เกิดขึ้นวันนี้ส่งผลต่ออนาคตทั้งประเทศ แต่ผมเชื่อว่าสักวันหนึ่ง คนรุ่นใหม่จะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นได้ ไม่ใช่แค่ในวงการกฎหมายเท่านั้นแต่ยังรวมถึงสังคมโดยรวมอีกด้วย”
ทั้งนี้มหาวิทยาลัยมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการสร้างนักกฎหมาย เพราะไม่มีใครสามารถเป็นนักกฎหมายได้โดยไม่ผ่านการศึกษาในมหาวิทยาลัย การเรียนกฎหมายต้องอาศัยครูบาอาจารย์ที่มีประสบการณ์และความรู้ หากมหาวิทยาลัยยังมีบุคลากรเหล่านี้อยู่ ก็ยังพอมีความหวังต่ออนาคตของวงการกฎหมายและประเทศ เชื่อว่าเรามีนักกฎหมายรุ่นใหม่ที่อยู่ในมหาวิทยาลัย ที่ยังไม่ถูกหล่อหลอมให้เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาของระบบกฎหมายในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์ ดร.สุรพล มีบทบาทสำคัญในหลายองค์กร และมุ่งมั่นที่จะใช้ความรู้และประสบการณ์ในการปรับปรุงระบบกฎหมายของประเทศ ท่านกล่าวว่า นักกฎหมายที่มีประสบการณ์ควรเป็นผู้ที่ช่วยชี้นำและตั้งคำถามต่อแนวทางการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่ถูกต้อง
“ผมได้ทำงานด้านกฎหมายมาไม่น้อยและยังมีสิ่งที่ต้องทำต่อไป เพื่อให้ความเชื่อของผมในเรื่องนี้เป็นจริง ผมเชื่อว่านักกฎหมายที่มีประสบการณ์และอายุมากพอ ควรมีบทบาทในการชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่ถูกพูดถึงหรือเชื่อกันในวันนี้ อาจไม่ได้ถูกต้องเสมอไป บางครั้งแนวทางการบังคับใช้กฎหมายที่เราเห็นในสังคมและสื่อต่างๆ อาจเบี่ยงเบนไปจากหลักการที่ควรจะเป็น”
“ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีคนที่กล้าพูดและชี้ให้เห็นถึงข้อผิดพลาดเหล่านี้ ซึ่งมักจะเป็นหน้าที่ของผู้ที่มีประสบการณ์มากพอ ผมตั้งใจจะทำหน้าที่นี้ต่อไป เพื่อเป็นแนวทางให้นักกฎหมายรุ่นใหม่ ได้เรียนรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง และอะไรคือสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง เพื่อให้กฎหมายถูกใช้อย่างถูกต้องและเป็นธรรม”
ศาสตราจารย์ ดร.สุรพล กล่าวว่า หลักการและแนวคิดในการทำงานของท่านได้รับการบ่มเพาะจากช่วงที่เรียนกฎหมายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยของคนธรรมดาสามัญทั่วไป ที่เชื่อมั่นเรื่องความเสมอภาคของทุกคน และยังเป็นมหาวิทยาลัยที่ให้โอกาส ดังนั้นชีวิตในมหาวิทยาลัยทำให้เห็นว่า เราควรยึดมั่นในสิ่งที่เราคิดว่า “ถูก”
“เราต้องกล้าพูดในสิ่งที่ถูกต้อง กล้าคัดค้านสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และยืนหยัดอยู่ข้างผู้ที่เสียเปรียบในสังคม ผมยืนอยู่บนกรอบนั้น คือเห็นอะไรไม่ถูกต้องก็กล้าพูด เห็นอะไรที่ใช่ก็ต้องบอกว่ามันถูกต้องและควรจะทำ แล้วไม่ค่อยยอมกับอํานาจหรือการบังคับที่ไม่ค่อยเป็นธรรมหรือไม่ถูกต้อง”
แนวคิดนี้เป็นหลักการของคนที่เรียนจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์โดยทั่วไปรวมทั้งท่านผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ด้วย เราเชื่อว่า “สิ่งถูกก็ต้องเป็นสิ่งที่ถูก” ไม่ว่าใครจะพูดว่ามันผิด สิ่งที่ผิดมันก็เป็นสิ่งที่ผิด แม้ว่าใครจะรับรองว่ามันถูกก็ตาม และถ้าเราพบสิ่งนั้นแล้วอยู่ในสถานภาพที่จะพูดอะไรได้และมีคนฟังก็ควรจะบอกว่า มันถูกหรือผิดบนพื้นฐานของความพยายามที่จะทำให้สังคมไทยข้างหน้าดีขึ้น
ในท้ายที่สุด ศาสตราจารย์ ดร.สุรพล ได้ฝากข้อคิดถึงนักกฎหมายรุ่นใหม่ที่ต้องการประสบความสำเร็จในวิชาชีพว่าการเรียนกฎหมายต้องอาศัยความจริงจังและความตั้งใจ ต้องเข้าใจหลักคิดแบบนักกฎหมาย วิเคราะห์ความเป็นจริงของสังคม และนำกฎหมายไปปรับใช้ให้เหมาะสม เนื่องจากกฎหมายเป็นศาสตร์ทางสังคม ไม่สามารถแยกออกจากบริบทความเป็นจริงได้ การทดลองใช้กฎหมายเป็นสิ่งสำคัญ เช่น การให้คำปรึกษากับผู้ที่มีปัญหาทางกฎหมาย จะช่วยให้เข้าใจว่าสังคมมีความซับซ้อนมากกว่าตัวอย่างในตำรา การฝึกฝนในลักษณะนี้จะช่วยเพิ่มความเข้าใจ ความมั่นใจ และเพิ่มพูนประสบการณ์ ซึ่งจะนำไปสู่การใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
“นักกฎหมายต้องมีจรรยาบรรณ และมุ่งมั่นสร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคมเพื่อให้กฎหมายเป็นเครื่องมือที่นำไปสู่ความยุติธรรมอย่างแท้จริง” ศาสตราจารย์ ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ กล่าวเน้นย้ำ
เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต


