เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
bg-single

ปฏิบัติการ ‘ล้มดีล’ ขั้วอำนาจเก่า คืนชีพ วัดพลัง-จับสัญญาณ กองทัพ ปรับแผน เมื่อ I.O. เบิร์นต์ รีเซ็ต เปลี่ยนใช้ กลยุทธ์ S.C.

20.05.2025

รายงานพิเศษ

 

ปฏิบัติการ ‘ล้มดีล’ ขั้วอำนาจเก่า คืนชีพ

วัดพลัง-จับสัญญาณ

กองทัพ ปรับแผน เมื่อ I.O. เบิร์นต์

รีเซ็ต เปลี่ยนใช้ กลยุทธ์ S.C.

 

เป็นที่รู้กันว่า “ดีล” จัดตั้งรัฐบาล ระหว่างขั้วอนุรักษนิยม กับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ นั้นมีอยู่จริง จึงก่อกำเนิดรัฐบาลพรรคทักษิณ ชินวัตรกับพรรค “ลุง” และพรรคสีน้ำเงินขึ้น

แต่เป็นการเอาฝ่ายที่เป็นศัตรูกันมาจับมือกัน โดยที่ขั้วอนุรักษนิยมต้องจำยอม เพราะจำเป็นต้องใช้นายทักษิณ และพรรคเพื่อไทยเป็นขุน ในการต่อสู้กับพรรคก้าวไกล-อนาคตใหม่ ที่กำลังมาแรง พร้อมกระแสปฏิรูป สถาบันฯ และกองทัพ

ส่งผลให้คีย์แมนในขั้วอนุรักษนิยม ที่เคยเป็นศัตรู ต่อสู้กับนายทักษิณ มาตั้งแต่รัฐประหารปี 2549 จำเป็นต้องสงบศึกกับระบอบทักษิณไปด้วย

ขั้วอนุรักษนิยมไม่ได้มีแค่กองทัพ หรือ ผบ.เหล่าทัพ แต่ยังรวมถึงอีลีต ชนชั้นศักดินา ทหารเก่า ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเจรจา ทำดีล แต่ก็จำเป็นต้องสงบศึกกับระบอบทักษิณไปด้วย เมื่อมีการ “ส่งสัญญาณ” ที่ชัดเจน

เพราะรู้ว่า การจัดตั้งรัฐบาล และการกลับไทย ของนายทักษิณ เกิดจากการดีลในหลายมิติ และเกิดในยุคที่ อำนาจ หน้าที่อยู่ในมือ พี่น้อง 3 ป. ที่มี บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผู้เป็น หัวหน้า คสช. นำปฏิวัติล้มอำนาจ น้องสาว นายทักษิณ และครองอำนาจรัฐ มาราว 9 ปีแล้ว เป็นผู้มีบทบาทนำ และสำคัญที่สุด

แต่ “ดีล” ไม่อาจทำให้คนที่เป็นศัตรูกันมายาวนาน หันมารักกันได้เพียงชั่วข้ามคืน รอยแผลในใจเดิมๆ ยังคงอยู่ แม้แต่นายทักษิณเองก็ตาม แต่ก็ต้องทำตามดีล ในการไม่ล้างแค้น ล้างบางหรือล้ำเส้น แต่ก็มีหลายครั้ง ที่นายทักษิณก็พาดพิงบุคคลในขั้วอนุรักษนิยมในอดีต

จนเป็นการสะกิดแผลเก่า

สิ่งที่ นายทักษิณ และรัฐบาลพรรคเพื่อไทยกำลังเผชิญอยู่ จากคดีความต่างๆ ส่งผลให้คำว่า ตุลาการภิวัฒน์ ถูกพูดถึงอีกครั้ง เพราะยังเป็นเขี้ยวเล็บสำคัญ ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมาหลายครั้ง

ตั้งแต่ ถูกเร่งเกม จนทำให้นายเศรษฐา ทวีสิน หลุดเก้าอี้นายกฯ และทำให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย บุตรคนเล็กนายทักษิณ ต้องเข้าสู่สนามการเมืองแบบเต็มตัวก่อนเวลา และในสภาวะที่ยังไม่พร้อม โดยการรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และตามมาด้วยปัญหาและคดีความต่างๆ จ่อคิวอยู่ จนต้องระมัดระวังในเรื่องการแต่งตั้งรัฐมนตรี โดยเฉพาะคุณสมบัติเรื่องคุณธรรมจริยธรรม

และการรุมถล่มโจมตีนายทักษิณ จากศัตรูเก่า ขั้วอำนาจเก่า เมื่อสบช่อง โดยเฉพาะกรณีชั้น14 รพ.ตำรวจ ความเคลื่อนไหวของแพทยสภา แม้แต่คดีความผิด ม.112 ที่ คสช.ฟ้องร้องเอาผิดนายทักษิณ จนทำให้ น.ส.แพทองธาร ต้องระวังทุกฝีก้าว

ทำให้เกิดกระแสข่าวลือว่า ขั้วอนุรักษนิยมนอกดีล พึงใจที่จะสนับสนุนพรรคสีน้ำเงิน มากกว่าพรรคสีแดง และต้องการให้พรรคสีน้ำเงิน เป็นแม่ทัพในการสู้ศึกกับพรรคส้มแทน

แต่ทว่าสมการตัวเลขในทางการเมือง พรรคภูมิใจไทยยังเป็นพรรคอันดับ 3 เมื่อเทียบกับจำนวน ส.ส. ของพรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทย แม้หากมีการสลับให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ในช่วง 2 ปีของรัฐบาล แต่ก็จะเป็นนายกฯ ที่ถูกพรรคเพื่อไทยล้อมไว้หมด โดยจำนวนรัฐมนตรีที่มากกว่า

มีรายงาน นายอนุทินพอใจที่จะคงสถานภาพพรรคร่วมรัฐบาลต่อไป กับสัดส่วน รมต.เดิม และโดยเฉพาะเก้าอี้ รมว.มหาดไทย

แต่ความเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทย รวมถึง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ผู้นำจิตวิญญาณของพรรคกล้าธรรม ที่กลายเป็นที่ไว้วางใจของนายทักษิณ กำลังเร่งเกมในการดูด ส.ส. เพื่อหวังเพิ่มสัดส่วนเก้าอี้ รมต. จนบางครั้งการเดินเกมการเมืองไปกระทบกระทั่งกับนายอนุทิน

รวมถึงนโยบายและแนวทางดำเนินการทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทยก็มีเรื่องที่ขัดแย้งกัน จนมาถึงการที่นายอนุทินตั้งเงื่อนไขว่า พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค จะต้องผ่านร่าง พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ แต่พบว่าพรรคประชาชาติ ประกาศที่จะไม่สนับสนุนด้วยเรื่องเหตุผลทางด้านศาสนา รวมทั้งการที่นายอนุทินเสนอให้มีการทำประชามติ

รวมถึงการวัดพลังกัน เรื่องคดีฮั้ว เลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ที่ ส.ว.ส่วนใหญ่ถูกมองว่าเป็น ส.ว.สีน้ำเงิน ที่กลายเป็นแต้มต่อของพรรคภูมิใจไทย ถึงขั้นที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำคำสั่ง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม หยุดการปฏิบัติหน้าที่ ในส่วนที่ควบคุมกรมสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ

ยิ่งทำให้คำว่าตุลาการภิวัฒน์ ถูกจับตามองอีกครั้ง

 

อีกทั้งมีการตีความการที่ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน และหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ได้ชื่อว่าเป็นพรรคดีเอ็นเอลุงตู่ ไปเยี่ยมนายอนุทิน ที่พักรักษาตัวผ่าตัดตา ที่โรงพยาบาล และนายอนุทินนำภาพมาโพสต์เปิดเผยแถมระบุว่า คุยกันนานหลายชั่วโมง

ราวกับต้องการจะส่งสัญญาณว่าพรรคอนุรักษนิยม ทั้งพรรคภูมิใจไทย และพรรครวมไทยสร้างชาติ น่าจะมีการหารือเรื่องสำคัญต่อสถานการณ์ทางการเมืองในเวลานี้

หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในระหว่างที่นายอนุทินพักรักษาตาที่โรงพยาบาลก็สะท้อนให้เห็นว่านายอนุทินเอง ก็มีแบ๊กอัพที่ไม่ธรรมดา

 

มีรายงานข่าวว่า สถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้ ทำให้คีย์แมนขั้วอนุรักษนิยม ที่อยู่เบื้องหลังดีล ไม่แฮปปี้กับความขัดแย้งของสองพรรคใหญ่ในพรรคร่วมรัฐบาล และส่งผลกระทบต่อดีล ตราบใดที่สถานการณ์ทางการเมืองยังเป็นเช่นนี้ทั้งสองพรรคก็ไม่อาจแยกจากกันได้ ก็ต้องอยู่ร่วมรัฐบาลต่อไปแบบนี้ วัดพลังกันไปแบบนี้ พร้อมๆ กับรอยแผลเก่าในใจของนายทักษิณ กับนายเนวิน ชิดชอบ ผู้นำจิตวิญญาณของทั้งสองพรรค และวิถีของทั้งสองพรรคที่ก็ต้องมีการแข่งกันสร้างคะแนนนิยม เพื่อให้ได้จำนวน ส.ส.มากที่สุดเพื่อชิงการเป็นผู้ที่ถูกเลือกให้เป็นแม่ทัพของขั้วอนุรักษนิยม

ขณะที่นายทักษิณเอง ก็ยังคงพยายามต่อสู้กับตุลาการภิวัฒน์ เพราะมั่นใจว่า ตนเองก็มีแบ๊กอัพที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน จึงสามารถกลับไทยมาได้ และได้กลับมามีบทบาทในทางการเมืองอีกครั้ง

ดังนั้น การวัดพลังกันเองของคีย์แมนในขั้วอนุรักษนิยมต่างสายจึงกำลังเกิดขึ้น ท่ามกลางการจับตามองว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ

เพราะถึงอย่างไรนายทักษิณก็ยังเป็นตัวเลือกที่ขั้วอนุรักษนิยมจำเป็นต้องใช้งานต่อไปก่อน

 

งานนี้ ฝ่ายทหาร หรือกองทัพวางท่าทีที่จะก้าวออกมาจากการวัดพลังนี้ ซึ่งตราบใดที่ยังไม่มีสัญญาณเป็นอย่างอื่นก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะในยุคนี้การปฏิวัติรัฐประหาร มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก และเป็นที่รู้กันดี ในหมู่ทหารในกองทัพ โดยเฉพาะทหารคอแดง ที่ยังคงเป็นทหารอาชีพและปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่ง อย่างเคร่งครัด

ในขณะเดียวกัน ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่เข้มข้น กองทัพซึ่งเคยเป็นตำบลกระสุนตกมาตั้งแต่การรัฐประหาร 2557 และตลอด 9 ปีที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี จึงต้องมีการปรับตัวเข้าสู่โหมดของการเป็นทหารอาชีพ ไม่ยุ่งเกี่ยวไม่วิพากษ์การเมือง ทิ้งระยะห่างกับฝ่ายการเมือง และทำหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตย ช่วยเหลือประชาชน และการถวายพระเกียรติ ปกป้องสถาบันฯ

ทั้งนี้ หลังจากที่ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (Information Operations) หรือ I.O. ของกองทัพ ถูกฝ่ายการเมืองด้อยค่า ต่อต้าน จนทำให้คำว่า I.O. กลายเป็นภาพลบ ถูกทำให้แปดเปื้อนการเมือง กองทัพจึงต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในเรื่องปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารใหม่ โดยเลิกใช้คำว่า I.O. แต่มาใช้คำว่า S.C. : Strategic Communication หรือการสื่อสารทางยุทธศาสตร์ หรือ StratCom พร้อมๆ กับคำศัพท์ที่ว่า Public Affairs Operation หรือ P.A.O. แทน

ด้วยเพราะคำว่า I.O. กลายเป็นจุดอ่อนของกองทัพที่ฝ่ายการเมืองโดยเฉพาะพรรคสีส้มและแนวร่วมใช้ในการโจมตี

ในห้วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ทั้งก่อนและหลังการรัฐประหาร 2557 การปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารของกองทัพโดยเฉพาะกองทัพบกที่มีกรมยุทธการทหารบกเป็นผู้รับผิดชอบ จะให้น้ำหนักไปกับการปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับการเมือง

แต่ตามหลักการแล้วปฏิบัติการข่าวสารหรือไอโอของกองทัพเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ในยามสถานการณ์ไม่ปกติ เช่น เมื่อมีการสู้รบหรือมีการศึกสงครามฝ่ายทหารจะต้องมีปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร เพื่อชี้นำสถานการณ์และข้อมูลต่างๆ

ดังนั้น กรมยุทธการทหารบก หรือฝ่ายยุทธการ จึงเป็นผู้รับผิดชอบปฏิบัติการไอโอมาตั้งแต่ต้น ไม่ใช่กรมการพลเรือนทหารบก หรือฝ่ายกิจการพลเรือน หรือฝ่ายอำนวยการ 5 (ฝอ.5)

แต่เมื่อมีการปรับเปลี่ยนมาใช้การสื่อสารทางยุทธศาสตร์ แทนปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร กองทัพได้พยายามยกระดับปฏิบัติการให้เป็นเชิงสากล โดยยึดต้นแบบมาจากของกองทัพสหรัฐอเมริกา ที่มีการเปลี่ยนศัพท์ในการใช้ด้านนี้มาเป็นเวลา 3 ปีแล้ว

กองทัพบกไทยก็เริ่มมีการนำมาเป็นแนวทาง

 

ส่งผลให้จากนี้ในส่วนของกองทัพโดยเฉพาะกองทัพบก จะไม่ใช้คำว่าการประชาสัมพันธ์ หรือ PR (Plublic Relations) เช่นแต่ก่อน แต่จะเรียกเป็น ฝ่าย P.A.O. และใช้คำว่า S.C. การสื่อสารทางยุทธศาสตร์แทน

เพื่อเป็นการรีเซ็ตภาพลักษณ์กองทัพใหม่ ว่าไม่มีการใช้ปฏิบัติการไอโอแล้ว หลังจาก ส.ส.พรรคประชาชนนำเอกสารและข้อมูลต่างๆ มาเปิดเผยในสภา เมื่อครั้งอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ที่แม้ว่าบางส่วนจะเป็นเอกสารเก่า เพราะมีการปรับเปลี่ยนตัวนายทหารที่รับผิดชอบในแต่ละตำแหน่งไปแล้วก็ตาม แต่ก็สะเทือนกองทัพไม่น้อย

จึงไม่แปลกที่ทางกองทัพจะออกมายืนยันว่า กองทัพไม่มีปฏิบัติการไอโอแล้ว

พร้อมกันนั้น แนวร่วมกองทัพก็มีการชี้เป้าว่าปฏิบัติการไอโอไม่ใช่มีแค่ฝ่ายทหารที่เคยทำเท่านั้น แต่พรรคการเมืองบางพรรคก็มีปฏิบัติการไอโอ ถึงขั้นที่จัดตั้งเป็นกองทัพไซเบอร์ ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการควบคุมกระแสข่าว และเทรนด์ในโลกอินเตอร์เน็ต

 

อย่างไรก็ตาม แม้กองทัพจะมีการล้างภาพเรื่องปฏิบัติการไอโอใหม่

แต่การเกิดขึ้นของหน่วยบัญชาการไซเบอร์ทหารของทั้งกองบัญชาการกองทัพไทยและทุกเหล่าทัพ ที่มีการขยายสเกลและทำอย่างมืออาชีพและมีความทันสมัย ก็เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการสร้างนักรบไซเบอร์ของกองทัพ ที่ก็ยังคงถูกจับตามองถึงภารกิจของหน่วยไซเบอร์ทหารว่าทำแบบทหารมืออาชีพ และจะเกี่ยวข้องกับการเมืองหรือไม่

เพราะถึงอย่างไรนิยามของคำว่าภัยความมั่นคงและภัยคุกคามรูปแบบใหม่ของกองทัพ เป็นคำที่มีความหมายกว้างครอบจักรวาล และทำให้ทหารจำเป็นต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการไซเบอร์ในทางการเมือง รับมือทั้งภัยคุกคามจากภายนอกประเทศ และปฏิบัติการไอโอจากฝ่ายการเมืองด้วยนั่นเอง

ยิ่งสถานการณ์ทางการเมืองเข้มข้น แม้ทหารจะพยายามถอยห่างจากการเมือง แต่หน่วยข่าวกรองหรือหน่วยข่าวทหารก็มีหน้าที่ที่จะต้องติดตามสถานการณ์และวิเคราะห์เพื่อรายงานผู้บังคับบัญชา เพื่อให้รองรับเท่าทันสถานการณ์อยู่ดี

ดังนั้น วังวนของการเมือง กับปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร หรือแม้แต่การสื่อสารทางยุทธศาสตร์ จึงไม่อาจจะปลอดไปจากการเมืองได้เช่นกัน



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

เมื่อ AI รับตำแหน่ง CEO!
ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา จากแว่นของสหรัฐอเมริกาและจีน
เจาะโครงการ ‘น้ำ-คมนาคม’ ของบประมาณ 1.57 แสนล้าน เร่งปั๊ม ศก.-รักษาฐานเสียง รบ.
ชายแดนใต้ ‘เทศกาลอีดิ้ลอัฎฮา’ ระเบิด เชือดสัตว์พลีทาน และฟุตบอล
ลูกหลานเราจะเติบโตอย่างไร ถ้าเราดูแลครูของเราไม่ดี
MatiTalk ‘เสธ.หิ’ หิมาลัย ผิวพรรณ เปิดใจจุดพลิกผันในชีวิต จากทหารสู่เวทีการเมือง มองอนาคตพรรค ‘รทสช.’
‘ถกเขมรเถียงสยาม’ บทสนทนาสร้าง ‘สติ-ปัญญา’ ในภาวะขัดแย้ง ‘ไทย-กัมพูชา’
‘ครู นักเรียน และ AI’ แค่ไหนเรียกว่าโกง
ดาวกับดวง วันอังคารที่ 24 มิถุนายน 2568 โดยพิมพ์พรร
“พีระพันธุ์” เรียกประชุมด่วน หลังอิหร่านเตรียมปิดช่องแคบฮอร์มุซเตรียมมาตรการรองรับทั้งด้านราคาและปริมาณสำรองหากสถานการณ์รุนแรงขึ้น
พล.ท.ภราดร ชี้ครบ93ปีประชาธิปไตยไทย เดินสายพูดคุยปชช. พบสาเหตุที่ ปชต.อ่อนแอ
อดีต รมว.คลังชี้ช่วงนี้​ จะให้ศก.​เติบโต​สูงขึ้น ต้องปรับค่าเงินบาทลดลง​ ให้แข่งขันได้​ อัตราแลกเปลี่ยนเป็นเครื่องมือทางนโยบายของรัฐบาล​ ไม่ควรปล่อยให้ขึ้นๆลงๆ​ ตามนักเก็งกำไร