

ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ | หนุ่มเมืองจันท์
แม้จะลาออกจากการเป็น “นักข่าว” มาเป็นสิบปีแล้ว
แต่สัญชาตญาณความเป็น “นักข่าว” ก็ยังอยู่ในตัว
ยิ่งติดตามข่าวการเมืองมานาน ยิ่งทำให้เห็น “ข้อดี” ของความเป็น “นักข่าว” เรื่องหนึ่ง
ถ้าเป็นนักข่าวการเมือง เราจะคุ้นเคยกับ “การเมือง” และ “นักการเมือง”
“นักข่าว” อยู่ใกล้กับ “การเมือง”
แต่เราไม่เข้าไปคลุกวงในหรือ “เล่นการเมือง” แบบ “นักการเมือง”
เราจึงเห็น “ความเปลี่ยนแปลง” ที่เกิดขึ้นชัดเจน แต่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย
ไม่เหมือน “นักการเมือง” ที่จะมี “อคติส่วนตัว” ตามสถานภาพที่เปลี่ยนไป
เหมือน “นักฟุตบอล” ในสนามที่เห็นแต่ “คู่แข่ง”
ไม่เห็นเกมทั้งหมดเหมือนคนที่อยู่ข้างสนาม
“นักการเมือง” พอเป็น “ฝ่ายค้าน” ก็จะคิดอีกแบบหนึ่ง
พอเป็น “รัฐบาล” ก็จะมีคำอธิบายอีกชุดหนึ่ง
เรื่องแบบนี้ คนที่คลุกวงในแบบ “นักการเมือง” จะมองไม่เห็น
ไม่รู้ว่าตัวเองเปลี่ยน
ชอบคิดว่าตัวเรา “จุดยืน” เหมือนเดิม แต่สถานการณ์เปลี่ยนไป
นึกถึงหนังเรื่อง The Lord of the Rings
ทุกคนพยายามแย่ง “แหวน” แห่ง “อำนาจ”
ตอนแรกทุกคนนึกว่าจะควบคุมพลังอำนาจของ “แหวน” ได้
แต่สุดท้าย “อำนาจ” จะควบคุมเขา
และเปลี่ยน “เขา” คนนั้นไปตลอดกาล
“การเมือง” ก็เช่นกัน
การเมืองในวันนี้ มีตัวละคร 2 คนที่น่าสนใจ
คนหนึ่ง คือ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ”
คนหนึ่ง คือ “จตุพร พรหมพันธุ์”
2 คนนี้ เป็น แกนนำ “เสื้อแดง” ในสมรภูมิราชประสงค์เมื่อปี 2553 ชุมนุมประท้วงรัฐบาล “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ให้ยุบสภา
เพราะรัฐบาลชุดนั้นจัดตั้งในค่ายทหาร
ได้รับการสนับสนุนจาก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก พาแกนนำพรรคการเมืองต่างๆ ไปค่ายทหาร
และจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมา
โดยไฮไลต์ของเรื่องนี้อยู่ที่กลุ่ม “เนวิน ชิดชอบ” แยกตัวออกจากพรรคพลังประชาชนที่ถูกยุบไปหันมาสนับสนุน “อภิสิทธิ์” คู่แค้นทางการเมือง
เป็นที่มาของวลีสุดฮิต “มันจบแล้วครับ นาย”
“เนวิน” ที่เคยเป็น “มือขวา” คนสนิทประกาศแยกตัวเป็นอิสระจาก “ทักษิณ ชินวัตร”
ก่อนทั้งคู่จะมาบรรจบกันอีกครั้งหลังการเลือกตั้งปี 2566
เมื่อพรรคเพื่อไทยข้ามขั้วมาจับมือกับ 2 ลุง และพรรคภูมิใจไทยของ “เนวิน ชิดชอบ” และ “อนุทิน ชาญวีรกูล”
เมื่อปี 2553 “ณัฐวุฒิ” กับ “จตุพร” คือ แกนนำคนเสื้อแดง
เป็นขุนพลคนสำคัญของ “ทักษิณ” ที่กุมมวลชนต่อสู้กับรัฐบาล “อภิสิทธิ์” และกองทัพบนท้องถนน
กลายเป็นสงครามกลางเมืองที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในเมืองไทย
“ตู่” และ “เต้น” เหมือนเป็น “เพื่อนตาย” ที่เสี่ยงชีวิตมาด้วยกัน ไม่มีใครคิดว่าการเมืองที่เปลี่ยนไป
จะทำให้ทั้งคู่ยืนอยู่คนละฟากฝั่งการเมือง
เหมือนไม่เคยร่วมเป็นร่วมตายกันมาก่อน
จุดเปลี่ยนสำคัญอยู่ตอนที่ทั้งคู่ติดคุกในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มี “ผู้ใหญ่” คนหนึ่งเข้าไปคุยกับทั้ง 2 คน
เมื่อกลับออกมาสู่เส้นทางการเมืองอีกครั้ง
“เต้น” ยังอยู่กับ “ทักษิณ” และพรรคเพื่อไทยเหมือนเดิม
เขาเป็นคนสำคัญคนหนึ่งที่ไปโน้มน้าวให้ “แพทองธาร ชินวัตร” รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
และยอมกลับสู่พรรคเพื่อไทย เป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี
ส่วน “จตุพร” เริ่มขยับตัวออกห่างเรื่อยๆ และกลายเป็นคู่ขัดแย้งกับ “ทักษิณ” อย่างเปิดเผย
ยิ่งนานวัน ยิ่งกลายเป็นฝ่ายตรงข้าม
ยืนอยู่คนละฝั่งการเมือง
จนวันหนึ่งเกิดภาพทางการเมืองที่เหนือความคาดหมาย
เหมือนตอนที่ “อภิสิทธิ์” กอดกับ “เนวิน”
นั่นคือ ภาพของ “สนธิ ลิ้มทองกุล” แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กอดกับ “จตุพร” บนเวที “ความจริงมีหนึ่งเดียว”
ทั้งคู่คือ อดีต “คู่ขัดแย้ง” ทางการเมือง
เป็น “แม่สี” ที่แตกต่างกันชัดเจน
“เหลือง” กับ “แดง”
ในอดีตบนเวทีปราศรัย ทั้ง “สนธิ” และ “จตุพร” ใส่กันยับเหมือนศัตรูคู่อาฆาต
แต่วันนี้ 2 คนนี้จับมือกัน
ถือคติว่า “ศัตรูของศัตรู คือ มิตร”
และหันไปถล่ม “ทักษิณ ชินวัตร” โดยพร้อมเพรียงกัน
หลังจากที่ “ฮุน เซน” เปิดคลิปลับการสนทนาส่วนตัวระหว่าง “หลานกับ uncle”
กระแสความไม่พอใจในสังคมไทยรุนแรงและทวีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ
มีการนัดชุมนุมใหญ่ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
ผู้คนเข้ามาร่วมชุมนุมหลายหมื่นคน
ทั้งที่มีฝนตกใหญ่ช่วงบ่าย
“ปริมาณ” ของผู้คนบ่งบอกถึงกระแส “ความไม่พอใจ” นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ว่ามากมายเพียงใด
แต่พอเหลือบมองหน้าแกนนำ “ม็อบ” ครั้งนี้
ล้วนเป็น “คนหน้าเดิม” ที่ชุมนุมไล่ “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เมื่อปี 2549 และ 2557
เหมือนหมุนเข็มนาฬิกาการเมืองกลับไป 19 และ 11 ปีก่อน
จะมีแปลกและแตกต่างอยู่คนเดียว คือ “จตุพร พรหมพันธุ์” ที่เคยยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับคนกลุ่มนี้
บทเรียนจากการชุมนุมทั้ง 2 ครั้ง ก็คือ หลังการชุมนุมใหญ่ของพันธมิตรฯ และ กปปส. จะจบด้วยการรัฐประหารทุกครั้ง
ในขณะที่ “ม็อบเสื้อแดง” จะเรียกร้องการยุบสภา
แต่ “ม็อบพันธมิตร” และ “ม็อบ กปปส.” ปฏิเสธการยุบสภา ไม่ยอมรับการเลือกตั้งใหม่
2 ครั้งก่อนกลัว “แดง”
ครั้งนี้กลัว “ส้ม”
เหมือนที่ “แดง” กลัวในวันนี้
ไม่แปลกที่จะมีคนกลัวว่าม็อบครั้งนี้จะเปิดประตูสู่การรัฐประหารเหมือนกับในอดีต
เพราะหลังการรัฐประหารทั้ง 2 ครั้ง แกนนำกลุ่มนี้ไม่มีการคัดค้าน ไม่มีการต่อต้าน
หนำซ้ำหลังการรัฐประหารปี 2557 กลุ่มแกนนำมีการเลี้ยงฉลองความสำเร็จ ใส่ชุดพราง ดื่มไวน์ ร้องเพลงปลุกใจ
เหมือนเป็นผลงานที่น่าภาคภูมิใจ
นี่คือ บทเรียนที่เราได้เห็นจากประวัติศาสตร์การเมือง
ปรากฏการณ์ครั้งนี้เราได้เห็น “ความเปลี่ยนแปลง” ในตัวคน 2 คน
“จตุพร” ไม่เชื่อว่าแกนนำม็อบครั้งนี้จะเห็นด้วยกับการรัฐประหาร
เขาคิดว่าแกนนำทุกคนไม่ยอมรับการยึดอำนาจ
ทั้งที่คนกลุ่มนี้คือคนกลุ่มเดียวกับที่เขาเคยประณามหยามเหยียดมาในอดีตเรื่องการกวักมือเรียกทหาร
คำปราศรัยหลายต่อหลายครั้งบนเวที
เขาพูดถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจน
แต่วันนี้ “จตุพร” ยอมรับแกนนำเหล่านั้น
และเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่าถ้ามีการรัฐประหาร คนกลุ่มนี้จะออกมาคัดค้านเหมือนที่เขาเคยทำในอดีต
ส่วน “ณัฐวุฒิ” นั้นออกมาคัดค้านการยุบสภาและลาออก
ทั้งที่เขาเคยเป็นแกนนำเรียกร้องให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ยุบสภา
“เต้น” อ้างประวัติศาสตร์ทางการเมืองว่า “ทักษิณ” และ “ยิ่งลักษณ์” เคยยุบสภามาแล้ว
แต่สุดท้ายก็ไม่มีการเลือกตั้ง
“ณัฐวุฒิ” ไม่ได้ตั้งคำถามว่าการตัดสินใจในอดีตช้าเกินไปหรือไม่
เพราะกลัวเสียอำนาจจึงปล่อยให้สถานการณ์บานปลายจนควบคุมไม่ได้
วันนี้เขาเลือกมองข้ามช็อต และข้ามช็อต
แต่ลืมคิดถึงช็อตแรก
ลืมตั้งคำถามง่ายๆ ว่าถ้านายกรัฐมนตรีชื่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หรือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
และเกิดคลิปลับการสนทนากับ “ฮุน เซน” แบบนี้
เขาจะเรียกร้องให้ทั้งคู่ลาออกหรือยุบสภาหรือไม่
“ความเปลี่ยนแปลง” เป็นนิรันดร์ คือ สัจธรรมของโลก
แต่เราต้องไม่ลืมตั้งคำถามในกระจก
สถานการณ์เปลี่ยน
หรือตัวเราเปลี่ยนไปกันแน่
เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

