ดัชนีตลาดหุ้นไทยสามารถแตะ 1,800 จุด ได้ตั้งแต่สัปดาห์แรกของปี เร็วกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ แต่ด้วยความที่ปัจจัยพื้นฐาน ทั้งสภาพเศรษฐกิจ อัตราผลตอบแทน อัตราส่วนกำไรสุทธิต่อหุ้น (พี/อี) ตลอดจนความผันผวนที่เกิดจากปัจจัยภายนอกประเทศ ทั้งนโยบายของสหรัฐ สถานการณ์การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับเกาหลีเหนือ และราคาน้ำมันดิบโลก ทำให้ดัชนีไปได้ไม่ไกลมากนัก จนปัจจุบันเคลื่อนไหวในกรอบ 1,740-1,780 จุด
ขณะเดียวกันองค์ประกอบสำคัญอย่างกระแสเงินทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ที่เป็นตัววัดความน่าสนใจของตลาดหุ้น ยังไหลออกต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน นักลงทุนต่างชาติยังคงสถานะขายสุทธิหุ้นไทย 116,299.64 ล้านบาท หากแยกออกมาเฉพาะข้อมูลรายเดือน พบว่าช่วง 1-25 พฤษภาคม นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 36,732.90 ล้านบาท
แล้วตลาดหุ้นช่วงครึ่งปีหลังจะเป็นอย่างไร ฟันด์โฟลว์จะไหลออกต่อเรื่อยๆ อีกหรือไม่
รักพงศ์ ไชยศุภรากุล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ฉายภาพว่า สัปดาห์นี้ตลาดหุ้นอาจผันผวนและดูไม่ค่อยดีเท่าที่ควร แต่เชื่อว่าทิศทางหลังจากนี้ ดัชนีตลาดหุ้นจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากได้ผ่านจุดแย่สุดแล้ว แต่ต้องติดตามปัจจัยภายนอกประเทศ ทั้งสถานการณ์การเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน การประกาศดัชนีเอ็มเอสซีไอ และความชัดเจนของการเลือกตั้งในไทย
ฉะนั้น ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะตีความวันที่ 30 พฤษภาคม ค่อนข้างมีผลกับความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยพอสมควร หากศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ตีตกไป เท่ากับว่าโรดแมปการเลือกตั้งยังคงเป็นไปตามกำหนดการเดิม!!
ส่วนเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไตรมาส 2 จะเป็นอย่างไร
ประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) อธิบายว่า จีดีพีไตรมาส 2 อาจชะลอตัวลงจากไตรมาสแรก เพราะความกังวลต่อราคาน้ำมันสูงขึ้น จะกระทบเงินเฟ้อและการบริโภคภาคเอกชน อีกทั้งช่วงโลว์ซีซั่นของภาคการท่องเที่ยว คงเหลือแต่ปัจจัยชดเชยจากการลงทุนภาครัฐที่ขยายตัวดีมาก หลัง พ.ร.บ.อีอีซีมีผลบังคับใช้
ดังนั้น ตลาดหุ้นไตรมาส 2 จะออกมาดี จากปัจจัยเศรษฐกิจขยายตัว ประกอบกับการเทขายหุ้นกลุ่มพลังงานของนักลงทุนต่างชาติปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นสัญญาณว่านักลงทุนต่างชาติกำลังลดน้ำหนักการลงทุน ความเคลื่อนไหวดัชนีไตรมาส 2/2561 น่าอยู่ที่ 1,730-1,830 จุด และขยับถึง 1,898 จุด สิ้นปีนี้
อีก 7 เดือนจากนี้ คงต้องลุ้นกันตลอดทาง ว่าจะมีอะไรเซอร์ไพรส์
ทำให้โอกาสเป็นได้ทั้งพีคหรือฟุบ
