…ยิ่งวันเวลาล่วงเลยไป ชะตากรรมของ “เด็ก 13 คนที่หลงถ้ำหลวง” ไม่เพียงคนในครอบครัวที่ “ใจท่วมด้วยทุกข์” สำหรับคนทั่วไป ที่ก่อนหน้านั้นไม่เชื่อว่า “เจ้าหน้าที่จะช่วยเหลือไม่ได้” ถึงวันนี้เริ่มหันมามองด้วยความสลด จึงถูกต้องแล้วที่ทุกฝ่ายต้องระดมสรรพกำลังไปช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ และต้องขอบคุณ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่ลงพื้นที่ไปปลุกให้รู้สึกถึงความสำคัญเพิ่มขึ้น เรื่องราวนี่จะเป็นบทเรียนต่อทุกฝ่าย ในการระวังป้องกันอันตราย ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นนี้
…น่าสนใจว่าสังคมไทย “เครียด” ขึ้นหรือไม่ เหตุการณ์ “ฆ่ากันโดยขาดความยับยั้งชั่งใจ” แก้ปัญหาความปวดร้าวในใจด้วย “การทำลาย” กันและกัน ล่าสุด “หนุ่มราชทัณฑ์” บุกยิงภรรยาที่เพิ่งเลิกรา เสียชีวิตในโรงพยาบาลอีกแล้วความเป็นไปของสังคมที่เหมือนจะเสรีทางความสัมพันธ์ฉันชู้สาวมากขึ้น แต่ “ความหึงหวง” ยังเป็นเหตุใหญ่ให้ “ทำร้ายกัน” เหมือนเดิม น่าคิดเหมือนกันว่า “ชีวิตที่ละเลยศีลธรรม” นำความตึงเครียดมาสู่มนุษยชาติ
…เป็นเรื่องเข้าใจได้ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะหงุดหงิดกับข้อกล่าวหา “ทำงานเพื่อคนรวย” ด้วยขัดกับ “คุณธรรมของผู้นำประเทศ” ที่จะต้องมีภาพของ “ผู้ที่ทำเพื่อประชาชนส่วนใหญ่” เพียงแต่ “จีดีพี” ของประเทศที่เติบโตนั้น ไปโป่งอยู่ที่รายได้ของ “ไม่กี่ตระกูล” ขณะที่ “การทำมาหากินทั่วไปของคนส่วน
ใหญ่” หืดขึ้นคอกันทั่วหน้า เรื่องราวเหล่านี้เป็น “ความจริง” ที่ “ความตึงเครียด” เกิดขึ้นตั้งแต่เกษตรกรที่ราคาพืชผลตกต่ำ จนขั้น “การค้าขายฝืดเคือง” เมื่อสิ่งที่รัฐบาลประกาศว่าจะทำ กับ “ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น” ไปกันคนละทาง “จริยธรรมอีกด้านของผู้นำ” คือ “เข้าใจประชาชน” ไม่ใช่แค่ “เรียกหาแค่ให้ประชาชนเข้าใจตัวเอง”
…ความต้องการของ “นายกรัฐมนตรี” น่าสนใจมาก “ขอร้องให้ทุกคนเคารพกฎหมาย สนับสนุนรัฐบาล” โดยย้ำว่า “เพื่อให้ทุกคนมีความเป็นอยู่ดีขึ้น” เหมือนจะให้เข้าใจว่า “หนทางที่จะให้ชีวิตดีขึ้น” คือเข้าข้างรัฐบาล ช่วยเหลือรัฐบาล เท่านั้น ประเด็นอยู่ที่ “4 ปีที่ผ่านมา” การแทรกแซงการทำงานของรัฐบาลที่ใช้อำนาจเต็มในทุกเรื่องมีน้อยมาก แต่เพราะความเดือดร้อนของผู้คนไม่เพียงไม่ลดน้อยลง กลับดูจะเพิ่มมากขึ้น เพราะอย่างนี้หลายฝ่ายจึงเห็นความจำเป็นต้อง “วิพากษ์วิจารณ์” ซึ่งว่าไปคือ “การบอกปัญหาให้รัฐบาลทราบ บอกข้อมูลให้รัฐบาลรู้” ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า ถ้าคิดถึงการแก้ปัญหา “ไม่เอาแค่หงุดหงิดกับภาพที่ไม่ได้อย่างใจ”
…ฟังที่ “ท่านผู้นำ” ร้องขอจาก “สื่อมวลชน” แล้วได้แต่ถอนใจที่ว่า “สื่อมวลชนควรนำเสนอสิ่งที่คนพูดไม่น่าเชื่อถืออีกต่อไปหรือไม่ ไปให้เกียรติเขาทำไม นำเสนออีกทำไม เราควรให้เกียรติคนทำงานให้ประเทศในตอนนี้ไม่ใช่หรือ” สะท้อนถึง “ความไม่เข้าใจในอาชีพของกันและกัน” ด้วย “สื่อมวลชน” นั้นเป็นความปกติที่จะต้องคิดว่า “หน้าที่หลักอยู่ที่การนำเสนอข้อเท็จจริงรอบด้าน” เพื่อให้ “ประชาชน” ได้มีข้อมูลไปใช้ในการคิดวิเคราะห์ให้มากที่สุด หากต้องเลือกที่จะไม่นำเสนอด้านใดด้านหนึ่งนั่นเป็น “ข้อยกเว้น” ที่มีประเด็นในเชิงเหตุผลพิเศษ “ความไม่เข้าใจกันตรงนี้เป็นเรื่องน่าห่วงยิ่ง”
…หลัง ทักษิณ ชินวัตร ออกมาประเมินว่า “เพื่อไทย” จะยังชนะการเลือกตั้ง ก่อนกระแสที่หลายฝ่ายกระตุ้นให้ “กกต.” หยิบกฎหมายว่าด้วยการ “แทรกแซงพรรคการเมือง” เข้ามาวิเคราะห์ดูว่า “เพื่อไทย” ทำผิดหรือไม่ เพราะหากถูกตัดสินว่าผิด เพราะ “ปล่อยให้คนที่ไม่ได้เป็นสมาชิกแทรกแซง” จะถูกลงโทษถึงขั้น “ยุบพรรค” ประเด็นนี้น่าสนใจยิ่ง เพราะ “การตีความว่าแทรกแซงหรือไม่” นั้น จะเป็น “อาวุธ” ที่ห้ำหั่นคู่ต่อสู้ทางการเมืองของ “ทุกพรรค” และอ่อนไหวต่อข้อครหา “ยุติธรรมสองมาตรฐาน” ที่ไม่มีใครอยากให้ดำรงอยู่ในความรู้สึกของประชาชนไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด
…ขณะที่ มีชัย ฤชุพันธุ์ พยายามปกป้อง “รัฐธรรมนูญ” โดยตำหนิ “พรรคที่ประกาศจะแก้ไข” แต่ “เบื้องต้น” มีแนวโน้มจะต้องใช้ “ม.44” เพื่อยกเลิก “ไพรมารีโหวต” อัน “ทีมนักปฏิรูปการเมือง” เห็นว่า “เป็นหัวใจ” ที่จะทำให้ “สมาชิกเป็นผู้กำหนดพรรค” แทนที่การตัดสินใจของพรรคจะขึ้นอยู่กับ “เจ้าของพรรค” หรือ “ผู้บริหารพรรค” เหมือนที่ผ่านมา อันทำให้ “พรรคไม่เป็นสถาบันของประชาชน” ย่อมจะสะท้อนว่า “แนวคิดในการเขียนรัฐธรรมนูญ” มีปัญหาในทางปฏิบัติอีกมากมาย นั่นยังไม่ต้องพูดถึง “บทบัญญัติที่มาจากการไม่เชื่อมั่นในประชาชน” เปิดทางอำนาจให้ “นักการเมืองที่รอการแต่งตั้ง” มากมาย
ชโลทร