…คำที่พรั่งพรูมาจากใจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเพลงที่บอกว่ามีการพูดถึงเฉพาะ “เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน” ทำไมไม่ร้องท่อน “แผ่นดินที่งดงามจะคืนกลับมา” หรือ “อย่ามองว่าสืบทอดอำนาจ มันเป็นงานต่อเนื่อง ขอเวลาวางรากฐานประเทศอีกระยะหนึ่งเท่านั้น” ล้วนแล้วแต่ชักนำให้ตีความไปในทางที่ว่าในความคิดความอ่านของ “บิ๊กตู่” เห็นว่า “ภารกิจยังไม่เสร็จต้องจัดการต่อไป” ซึ่งไม่แปลกอะไรหากจะทำให้ผู้คนมองว่า “ยังต้องการอยู่ต่อ”
…เป็นธรรมดาของมนุษย์ คิดอะไรสักอย่างจะออกมาทางคำพูดและการกระทำ ที่ “นายกฯตู่” บอกกับ คุณหญิงแสงเดือน ณ นคร วันที่นำมูลนิธิสงเคราะห์ทหารผ่านศึกฯไปขายดอกป๊อปปี้ว่า “ผมเป็นทหารผ่านศึกเหมือนกัน แต่ศึกนี้ยังไม่จบ เป็นศึกที่หนักเหลือเกิน” ย่อมให้ความหมายว่าจะต้องรบต่อ เพียงคงมีคำถามตามมาว่า “รบกับใคร” มองว่า “ใครเป็นข้าศึก”
…ปฏิบัติการ “ไทยนิยม” ที่ พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา เป็น “แม่งาน” ทะลุทะลวงถึงระดับ “หมู่บ้าน-ตำบล” มีงบดำเนินการเบื้องต้น 2,000 ล้านบาท ดีเดย์ 21 กุมภาพันธ์นี้ ถูกตีความว่าเป็น “การสร้างฐานเสียง” เติมเต็มความพร้อมก่อนเลือกตั้ง ซึ่งไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไรที่ผู้คนจะต้องคิดเช่นนั้น ด้วย “ไทยนิยม” ที่อธิบายกันทุกวัน จนป่านนี้ยังไม่ชัดว่า “สาระคืออะไร” นักการเมืองรับรู้แค่ “การจัดทัพคนของรัฐ ทุ่มงบประมาณลงไปในการทำงานทางความคิดในพื้นที่”
…ทั้งหมดทั้งสิ้นคล้ายเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในเร็ววัน แต่อีกทางกลับไม่เป็นเช่นนั้น “สนช.” แสดงให้เห็นว่า “ไม่ได้เป็นฝักถั่ว” ด้วยการแก้ไข “กฎหมายลูก” ในสาระที่ถูกวิจารณ์ขรมว่าขัดต่อ “กฎหมายแม่” ตั้งแต่ “พ.ร.บ.ป.ป.ช.” ไปถึง “พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.” และ “พ.ร.บ.ที่มาของ ส.ว.” ล้วนแล้วแต่ต้องเสนอให้ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ตัดสินว่า “ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่” ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่จะขยายเวลา “วันเลือกตั้ง” ออกไปได้ชนิดไม่รู้ชะตากรรม เหมือนจะสร้าง “แผ่นดินที่งดงาม” ให้สำเร็จก่อน ค่อยคิดถึงการเลือกตั้ง
…เพราะ “สนช.” อ้างเหตุที่ต้องขยายการบังคับใช้ “กฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.” ออกไป 90 วัน เพราะ “กลัวพรรคการเมืองจะดำเนินการตามกฎหมายไม่ทัน” ทำให้ “พลพรรคประชาธิปัตย์” นำเองโดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกมาแสดงความสงสัยว่า “ทำไม คสช.ไม่ปลดล็อกพรรคการเมือง” ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้การทำตามกฎหมายได้ทันหรือไม่ การ “สั่งห้ามเคลื่อนไหวทางการเมืองซึ่งเป็นเหตุให้การทำตามกฎหมายมีปัญหา” แล้วแก้ไขด้วย “ขยายเวลาบังคับใช้กฎหมาย” มันเป็นวิธีการพิลึกพิลั่น
…ความขัดเคืองใน “ความคิดแตกต่าง” ผู้มีอำนาจอาจเพ่งเล็งไปที่สื่อหลัก แต่ความเห็นที่ “แรง” และ “สร้างกระแส” คึกคักกลับเป็น “สื่อออนไลน์” ที่ประชาชนสื่อกันเองโดยไม่ต้องอาศัย “ตัวกลาง” ถ้อยคำในโลกออนไลน์ที่พูดถึง “รัฐบาล” ชัดเจนขึ้นทุกวัน ถึง “กระแสที่พลิกกลับ” หลายคนที่เคย “ชื่นชมอำนาจนิยม” กลายเป็น “ตัวตั้งตัวตีถล่มผู้มีอำนาจ”
…ในข้อสรุปว่า “ขาลง” ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ว่าเกือบ 4 ปี “ไม่มีอะไรที่เป็นความหวัง” บางเรื่องยิ่งหนักหนาสาหัสขึ้น ทว่าในมุมมองของ “นายกฯบิ๊กตู่” เห็นเป็น “เรื่องปกติของรัฐบาลที่อยู่มาเกือบ 4 ปี” เพราะ “มีคนที่ได้ประโยชน์ เสียประโยชน์” ทำให้ “กลุ่มที่เดือดร้อนออกมาเป็นตัวตั้งตัวตี” สะท้อนว่าอำนาจยังขับเคลื่อนไปด้วยความคิด “ความผิดเป็นเรื่องของคนอื่น สิ่งอื่น”
…ในยุคสมัยที่ประชาชนผู้ใช้ถนน ไม่ไว้วางใจว่า “ด่านตรวจ” เป็นของ “ตำรวจจริง” หรือ “โจรปลอมเป็นตำรวจ” นายตำรวจใหญ่ทั้งหลาย ควรหาวิธีสร้างเอา “ความเชื่อถือกลับคืนมา” การป้องกันและปราบปราม ที่ทำให้ “คนสุจริต” เดือดร้อน และเอือมระอา ไม่น่าจะเป็นเหตุผลที่ดีในการทำงานของ “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์”
ชโลทร