…เหมือนสถานการณ์ดำเนินไปในความปกติ “เลือกตั้งเมื่อไร” แล้วแต่อารมณ์ของ “ผู้มีอำนาจ” ว่า “เชื่อมั่นในความพร้อมที่จะเอาชนะได้แค่ไหน” ทว่าในความสงบที่คล้ายว่าส่วนใหญ่จะยอมจำนนต่อการอำนาจนั้น กลับมีปรากฏการณ์ที่สะท้อนว่า “ยิ่งอยู่ยืดยาว ศักยภาพที่จะไปสู่ชัยชนะจะยิ่งต่ำลง” ด้วยสารพัดแรงเรื่องราวที่ปรากฏต่อสาธารณะนั้น ล้วนแล้วแต่สะท้อนพลังที่น่าจะถูกสลายมากกว่า
…ท่าทีของ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ ต่อ “นาฬิกา 25 เรือน” ในท่วงทำนอง “ถ้าเป็นผมแค่เรือนแรกก็ลาออกแล้ว” แม้ในที่สุดจะเปิดแถลงพาออกไปในทาง เป็นการพูดกับ “ผู้สื่อข่าว” แบบ “ไม่ให้สัมภาษณ์” พร้อมกับขอโทษ “คนที่ถูกพาดพิง” และประกาศ “ร่วมงานกันต่อไป” แต่นั่นยอมสะท้อนให้เห็นถึง “ความจริงใจที่มีต่อการร่วมงานกัน” ซึ่งเป็นเรื่องเข้าใจได้กับที่มีการวิเคราะห์กันว่า “คณะรัฐมนตรี” ในเวลานี้ อยู่กันแบบ “หน้าไหว้หลังหลอก” ไม่ใช่ “ร่วมหัวจมท้าย” แต่พร้อมจะ “ถีบหัวเรือส่ง” เมื่อถึงเวลา และนั่นถ้าไม่หมายถึง “ความอ่อนแอภายใน” ก็ย่อมให้คำนิยามเป็นอื่นได้ยาก
…ถอยห่างออกมาอีกนิด “แนวร่วม” ที่เคยประกาศตัวเคียงข้าง ถึงวันนี้ ไม่ใช่แค่ถอยห่างออกมาจากภารกิจ “กองหนุน” แต่ดูท่าจะเล่นบทตัวหลักในการถล่มรัฐบาล หากไม่เชื่อลองรื้อเข้าไปใน “กระแสรังเกียจเดียดฉันท์ผู้มีอำนาจ” จะพบว่าที่แรงกว่าใครส่วนใหญ่เป็น “คนเคยเชียร์” ทั้งนั้น ถ้าจะตีความว่า “อ่อนยวบ” ลงอีกระดับ ก็คงไม่ผิด
…และเมื่อขนาด “คนเคยสอพลอ” เพื่อสร้าง “วาสนาได้รับการแต่งตั้งเป็นอะไรสักอย่างในศูนย์กลางอำนาจ” ยังถอยออกมาชี้ให้เห็น “ความเลวร้ายของผู้ที่เคยเอาอกเอาใจ” เสียเอง ย่อมไม่ต้องพูดถึง “คนที่เคยเข้าข้างด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง” ที่จะไปไกลระดับ “นั่งส่ายหัวให้กับคนที่ตัวเองเคยหวัง” แปลว่าที่เคยเป็นพลังให้ “จางหาย” ลงไปเยอะ ซึ่ง “ผลโพลต่างๆ” ในช่วงหลัง ก็สะท้อนออกมาเป็นอย่างนั้น
…แปลเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ว่า “สนิมที่เกิดแต่เนื้อในตน” นั้น เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลให้เกิด “ความอ่อนแอ” ซึ่งที่จะตามมาคือ “พลังแข็งกล้า” ของฝ่ายที่ยืนอยู่ตรงกันข้าม ในส่วนของ “พลังบริสุทธิ์” ที่ไม่ได้ยืนอยู่ข้างใคร เพียงแค่ยืนหยัดในอุดมการณ์ “ประชาธิปไตย” และต่อต้าน “เผด็จการ” เริ่มแสดงออกด้วยประเด็นแหลมคม และถี่ขึ้น ที่น่าสนใจคือ “ผู้สนับสนุนเริ่มกว้างขวางขึ้น” ขณะที่ “ผู้ไม่เห็นด้วยบีบแคบลง”
…สำหรับ “ฝ่ายที่อยู่ตรงกันข้าม” ย่อมฮึกเหิมขึ้น ด้วย “กระแสที่โน้มเอียงมาเข้าข้างมากกว่า” ทำให้จากที่ต้องอยู่กับ “สภาพตั้งรับ” เริ่มพลิกมาสู่ “เกมรุก” ที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหมดทั้งสิ้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้คนเริ่มจับตา “สัญญา” ที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศไว้ตอนต้นปีใหม่ว่า “ปีนี้จะไม่หงุดหงิด” จะต้านแรงกดดันรอบด้านให้ “อยู่ในสัญญา” ได้หรือไม่
…แรงสะท้อนกลับอีกด้านที่น่าสนใจติดตามไม่น้อย คือผลจากการสร้าง “ทีมไทยนิยม” ลงไปสร้างฐานในพื้นที่ โดยมี “ข้าราชการ” เป็นแม่ทัพ ก่อเกิดแรงเสียดทานกับ “ผู้นำท้องถิ่น” ที่มีบทบาทมาก่อนเก่า เกมช่วงชิงการนำระหว่าง “ข้าราชการ” กับ “ผู้นำท้องถิ่น” เที่ยวนี้ กำลังจะพิสูจน์ว่า “บารมีของใครจะเหนือกว่า”
…ท่ามกลางความโกลาหลของ “ทิศทางอำนาจ” ทำให้ “นักการเมืองทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่” บางคน “ร้างเวทีไปนานนม” ต่างพากันเริ่มแสดงบทบาทของตัวเอง ก่อนหน้านั้น “ตั้งทีม” ขึ้นมาเพื่อ “สนับสนุน
ผู้มีอำนาจปัจจุบัน” เพื่อมายืนในจุดที่ “ผู้มีอำนาจเห็นหน้าค่าตา” เพื่อ “นึกออก จำได้” เวลาตัดสินใจแต่งตั้ง แต่วันนี้ มีไม่น้อยที่จะเคลื่อนไปในทางให้ประชาชนเห็นว่า “เป็นผู้ร่วมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย”
ชโลทร