…ช่วงนี้ เรื่องราว “เซ็กซ์ทัวร์ไทยแลนด์” กระฉ่อนโลก ไม่ใช่แค่ “นักท่องเที่ยวธรรมดาที่เอามาพูดถึง” ระดับ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศอังกฤษ” และ “รัฐมนตรีท่องเที่ยวแกมเบียร์” เลยเถิดไปถึง “นักธุรกิจต่างชาติเห็นช่องทางทำมาหากินมาเปิดโรงเรียนสอนเพศสัมพันธ์ในไทย” เห็นใจ นายกฯประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องรับหน้าชี้แจง ซึ่งคงช่วยอะไรไม่ได้มากนัก ด้วยโลกออนไลน์ ที่แชร์กันทุกกิจกรรมที่มาทำกัน เมื่อ “นักเที่ยวจากทั่วโลกเข้ามาท่องไทย” พลังการเผยแพร่ย่อมขยายกว้างไร้ขอบเขต จะหวังแค่ “สื่อมวลชน” ช่วยแก้ข่าว เรื่องราวที่ “เป็นจริง” ให้กลายเป็น “ไม่จริง” อีกร้อยชาติก็ไม่ไหว
…หนทางที่ควรทำคือ “บริหารจัดการเรื่องนี้อย่างจริงจัง” เอามาตีแผ่กันเลยว่า “ใครได้ผลประโยชน์จากธุรกิจเถื่อนนี้กันบ้าง” แล้วจะรู้ว่า “หญิงสาวที่มาขายตัว” ซึ่ง “นายกฯตู่” เห็นใจว่า “เพราะยากจนนั้น”
เป็นแค่ “เหยื่อของธุรกิจ” ผลประโยชน์ก้อนใหญ่ เป็นของ “มาเฟีย” และ “เจ้าหน้าที่รัฐ” อยากแก้ปัญหาต้องยอมรับความจริง แล้วเข้าไป “บริหารจัดการ” ให้เป็นระบบ เหมือนที่หลายประเทศซึ่งพัฒนาแล้วทำกัน ไม่ปล่อยให้เป็น “ธุรกิจใต้ดิน” ที่ร่ำรวยกันเฉพาะกลุ่มเฉพาะพวก โดยเอา “ศีลธรรมอันดี” ซึ่ง “ไม่มีอยู่จริง” มาเป็นเกราะป้องกัน
…ที่น่าเศร้าคือ “โลกพูดเรื่องนี้ที ผู้มีอำนาจก็เอามาด่าสื่อกันที” ทำนอง “ไม่ทำหน้าที่ปกป้องภาพลักษณ์ประเทศ” ขณะที่ “นักธุรกิจกาม” เหล่านี้ ได้รับการคุ้มครองปกป้องจาก “เจ้าหน้าที่รัฐ” ซี่งเป็นผู้มีอำนาจ และรู้ๆ กันอยู่ว่า “เต็มไปด้วยผลประโยชน์ตอบแทน” กลับไม่มีการพูดถึง
…โฟกัสการเมืองไปอยู่ที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ ด้วย “พรรคมวลมหาประชาชน” ที่จะตั้งขึ้น ถึงอย่างไรก็หนีไม่พ้นว่า “ลุงกำนันของชาว กปปส.” ต้องเป็นผู้นำหลัก แม้ไม่มีชื่ออยู่ใน “กรรมการบริหาร” แต่ต้องมี
ชื่อใน “ทำเนียบสมาชิกพรรค” เพราะไม่เช่นนั้นเสี่ยงต่อการถูกตีความ “พรรคการเมืองที่มีบุคคลภายนอกแทรกแซง” ซึ่งโทษหนักถึง “ยุบพรรค” อันเป็นประเด็นที่ “พรรคเพื่อไทย” ศึกษาอย่างละเอียดยิบ
ไม่ใช่เพื่อ “เอาไว้ทำลายใคร แต่เพื่อป้องกันตัวเอง”
…คำถามหลังพูดกันกระฉ่อนว่า “เทพเทือก” ตั้งพรรคขึ้นมาเพื่อเป็นกำลังเสริมให้ “พล.อ.ประยุทธ์” สืบสานภารกิจผู้นำประเทศต่อหลังเลือกตั้ง คือ “ฐานเสียงของพรรคที่ต้องเป็นพื้นที่เดียวกับประชาธิปัตย์” จะส่งผลอย่างไรต่อท่าทีของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่มีแนวโน้มว่าจะเป็น “เบี้ยหัวแตก” ก่อนใคร จะหวังว่าเป็น “พรรคแม่ พรรคลูก” แบบ “แยกกันเดิน รวมกันตี” เมื่อที่สุดแล้วต้อง “หนุนคนนอกขึ้นมาเป็นนายกฯ” จะตอบคำถาม “เชิงอุดมการณ์ประชาธิปไตย” อย่างไรหากยังแคร์ความรู้สึกของสากลโลกอยู่บ้าง
…ผลการเลือกตั้งออกมาเมื่อไร จะสะท้อนให้เห็นภาพชัดขึ้นว่า “กฎหมายที่เขียนกันขึ้นมาใหม่” มีเจตนา “ลดอำนาจการตัดสินใจของประชาชนอย่างไร” และหลังจาก “จัดตั้งรัฐบาล” จะรู้ว่าเป็น “กฎหมายที่เขียนมาเพื่อใคร” ดังนั้นภารกิจของ “นักการเมือง” หากไม่ใช่แค่ “พวกที่หวังรอผลประโยชน์ที่ได้รับการแบ่งปัน” แต่มี “สำนึกที่คิดถึงประชาชน” จะมุ่งไปที่การแก้ไขกฎหมาย โดย “ผลการเลือกตั้ง” จะเป็นแค่ “ผลพลอยได้”
…อีกปีเต็มๆ “กุมภาพันธ์ 62” ที่ “อำนาจรัฐ” จะอนุญาตให้ “เลือกตั้ง” กันได้ แม้ไม่ใช่การเลือกตั้งที่เป็น “ความหวังในอำนาจประชาชน” อะไรนักหนา แต่เหมือนเป็นท่อที่รอการเปิดให้หายใจ อย่างไรก็ตาม ชั่วโมงนี้ยังทำกิจกรรมการเมืองอะไรกันอย่างเปิดเผยไม่ได้ เพราะมีประกาศชัดเจนว่า “ยังไม่ปลดล็อก” จึงได้แค่ “แอบๆ ทำกันไป” ซึ่งไม่พ้นสายตาของ “ผู้มีอำนาจ” ถ้าอยากจะเอาผิดเมื่อไร ก็เมื่อนั้น
ชโลทร