…ปลุกกระแสให้ย้อนคิดไม่น้อย ปาฐกถาพิเศษล่าสุดของ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ใน “งานอาจารย์ป๋วย” เป็นคำถามต่อ “คนดีที่กำหนดสังคมเอง แล้วไล่ตราหน้าคนอื่นไม่ให้อยู่ร่วมในสังคม” และ “สังคมคนไทย ที่ไล่คนไทยด้วยกันคิดต่างออกไป แต่ไม่รู้สึกอะไรกับอำนาจรัฐที่เขียนกฎหมายให้ต่างชาติเข้ามาตั้งรกรากในแผ่นดินไทยกันเอิกเกริก” แต่เท่าที่ตามเสียงสะท้อนในโลกออนไลน์ ปาฐกถาที่กลั่นออกมาจาก “ปัญญา” เต็มที่ชิ้นนี้ยังไม่แรงพอที่จะเจาะทะลุ “ทิฐิมานะ” ของ “คนดี” และ “คนไทย” ที่ “เสกสรรค์” ต้องการสื่อไปถึง ด้วย “ทิฐิ” นั้นหนาเกินว่าจะเปิดรับ
…โดยเฉพาะมุมคิดเรื่อง “อนุรักษนิยม” กับ “กาละ” หรือ “ยุคสมัย” จะ “ย้อนสร้างสังคมแบบเก่า” ขณะที่ “ต้องใช้นโยบายเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า” เปิดรับ “แรงงาน-นักท่องเที่ยว และนักลงทุนต่างชาติ” ด้วย “แรงจูงใจเต็มที่” และ “เสรีนิยม” ใน “เทศะ” หรือ “พื้นที่” ที่พยายามหวงแหนไว้ให้ “กลุ่มผลประโยชน์เก่า” ก่อแรงเสียดทานมากมายให้ “ไทยกลายเป็นสังคมระทมทุกข์” เพราะ “เป็นไปอย่างไม่สอดคล้องกับที่สมควรจะเป็น” เกิด “ความขัดแย้งแตกแยกมากมาย”
…การหยิบยกเอา “ครู” ที่ต้อง “สอนให้เด็กอนุรักษ์ความเป็นไทย ขณะที่เปิดโลกทัศน์ใหม่รับความเปลี่ยนแปลงของโลก” เป็นความย้อนแย้งแบบ “ยอดมนุษย์” จึงจะรับมือไหว รวมความแล้ว “ปาฐกถา” ของ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล เป็นเรื่องที่ “ผู้มีอำนาจ” ต้องตั้งใจ แบบค่อยๆ ฟัง ให้สามารถเข้าใจให้มากที่สุด ด้วยจะเป็นประโยชน์มาก หากคิดจะ “ควบคุมสังคมไทยต่อไปในอนาคต”
…อาหารญี่ปุ่นเฟื่องฟูมากในประเทศไทยเรา ชนิดเป็นการรุกคืบทางเศรษฐกิจแบบ “กินยาว” คือ “แทรกเข้ามาในวัฒนธรรมความเป็นอยู่ประจำวันของคนไทยได้ลึกซึ้ง” แต่เมื่อ “ปลาจากจังหวัดฟุคุชิมา” ซึ่งไม่เคลียร์เรื่อง “ปนเปื้อนสารกัมมันตภาพรังสี” จาก “เหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิด” สร้างผลสะเทือนไม่น้อยในโลก “ดราม่าโซเชียล” ที่ก่อกระแส “สยองอาหารญี่ปุ่น”
…ทรรศนะของ นิติพงษ์ ห่อนาค ต่อ “พรรคการเมือง” ดูท่าจะอธิบายด้วยความหวังว่าจะเข้าใจ “ประชาธิปไตย” ที่เป็น “ธรรมดาต้องส่วนดี ส่วนเสีย ขึ้นอยู่กับการเลือกและช่วยกันตรวจสอบ” ที่ต่างจาก “เผด็จการที่ไม่ได้มีใครเลือกและตรวจสอบไม่ได้” หนทางเดียวที่จะพอเคลียร์กันได้บ้าง คือจัดเวทีเชิญมาถกกับนักประชาธิปไตยกันที่ละประเด็น เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ว่า “กระบวนคิดแบบไหนที่เห็นหัวประชาชน แบบไหนมุ่งแต่เอาอกเอาใจผู้มีอำนาจ”
…เพราะความไม่เข้มแข็งของ “ประชาธิปไตย” ซึ่งส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าเกิดจาก “พรรคการเมือง” ไม่ยึดมั่นกับวิถีนี้แบบมั่นคง บ่อยครั้ง “เพื่อให้ตัวเองได้อำนาจ” ยอมที่จะหลงลืมว่า “อำนาจควรมาจากประชาชน” ไปเปิดทางให้ “กลไกอื่นอวยอำนาจให้” ที่สุดค่านิยม “รอวาสนาในอำนาจที่ไม่ได้มาจากประชาชน” จึงเกิดขึ้น และเติบใหญ่กลายเป็น “กระแสหลักของคนที่จะมีอำนาจ” และที่สุดเป็นตัวที่เข้ามาทำลายล้าง “ความชอบธรรมในอำนาจจากประชาชน” สภาวการณ์ที่เกิดกับประเทศเช่นนี้ จำเป็นต้องเคลียร์กันให้ชัด ละเลยให้เกิดการเห็นตามโดยไม่ไตร่ตรองไม่ได้
…ขอแสดงความยินดีกับ ศ.นพ.ประกิต เทียนบุญ ที่ได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นจากสมาชิกให้เป็น “นายกสมาคมกรุงเทพกรีฑา” ต่ออีกสมัย พิสูจน์ถึง “ความชื่นชมในผลงานที่ได้ทำมาก่อนหน้านั้น”
ชโลทร
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่