…ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ “กนง.” วันก่อน สรุปว่า “เศรษฐกิจแม้จะฟื้นตัวมากกว่าที่คาดอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยต่างประเทศ” แต่ปัญหาอยู่ที่ “การส่งผ่านลงไปยังครัวเรือนไม่กระจายตัวเท่าที่ควรโดยเฉพาะครัวเรือนรายได้ต่ำ” พูดให้เข้าใจคือ ผลจากเศรษฐกิจดีขึ้นนั้น “รวยกันอยู่กลุ่มเดียว” ขณะที่ “คนส่วนใหญ่ของประเทศไม่ได้อานิสงส์ไปด้วย” ซึ่งสะท้อนถึงฝีมือบริหารการกระจายรายได้ของรัฐบาล และอาจถูกมองไปว่าเป็น “เจตนาของผู้มีอำนาจที่จะทำให้เป็นเช่นนั้น”
…ปัญหาเศรษฐกิจของไทยในช่วง “อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด” อยู่ที่ “ผู้มีทุนไม่กล้าลงทุน” เพราะหวาดหวั่นกับ “ทิศทางการพัฒนาประเทศ” เมื่อไม่มีการลงทุน “การจ้างงานก็ลด” ส่งผลต่อ “กำลังซื้อ” ที่จะมากระตุ้นวัฏจักรเศรษฐกิจให้หมุนไปตามกลไก ทางที่จะแก้ไขคือ “ทำให้นักลงทุนมั่นใจว่ากำไรงดงาม” ทางหนึ่ง “ลดภาระด้านภาษีทุกอย่างเพื่อจูงใจ” อีกทางหนึ่งเปิดทางให้ “เจ้าของทุน” เก็บเกี่ยวผลประโยชน์อันเกิดกับระบบเศรษฐกิจของประเทศอย่างเต็มที่ เพื่อให้เกิดความกล้าที่จะเทเงินที่ได้มาง่ายๆ นั้นลงไป แต่นั่นเท่ากับ “ปล่อยให้เงินไหลเข้าทุนยักษ์ โดยไม่กระจายสู่ปากท้องประชาชนส่วนใหญ่” ขณะที่ “การลงทุนยังเป็นแค่ความหวังที่ต้องรอเมตตาจากมหาเศรษฐี” ที่ถือ “ผลประโยชน์ตอบแทน” เป็นเป้าหมายสูงสุด
…การเล่นเอาล่อเอาเถิดกับ “ความหวัง” ทำให้ “ผู้มีอำนาจ” เพิ่มแรงจูงใจไม่รู้หยุดหย่อน มากขึ้นเรื่อยๆ เป็น “ศิลปะการบริหารเพื่อหาผลประโยชน์ได้ที่สุด” เพราะ “เสี่ยงน้อย” เนื่องจาก “ไม่ต้องลงทุนทรัพย์” ขณะที่ “ได้ผลมาก” เพราะกระชับ “การผูกขาดให้มั่นคง” โดย “รัฐบาล” จัดการให้เอง การทำงานจึงแค่หาวิธี “รวบรวมผลประโยชน์ที่อำนาจรัฐเอื้อให้” ไว้กับตัวให้มากที่สุด ไม่ให้กระเซ็นกระสาย และนั่นหมายถึง สภาวะที่ “แบงก์ชาติ” ชี้ให้เห็นว่า “การส่งผ่านไปยังครัวเรือนไม่กระจายตัวเท่าที่ควร โดยเฉพาะครัวเรือนรายได้ต่ำ”
…ที่ซ้ำหนักเข้าไปอีกคือ แทนที่ “กลไกอำนาจรัฐ” จะรู้สึกรู้สากับการดำเนินนโยบายที่ยังมีปัญหา ไม่ทะลุ ปรุโปร่งไปสู่ “การกระจายรายได้” กลับกลายเป็นว่า “โครงการของรัฐ” ที่เกิดขึ้นเพื่อ “เยียวยาเร่งด่วนกับผู้ด้อยโอกาส” ด้วยการ “ส่งงบประมาณไปให้ถึงโดยตรง” ยังถูกสกัดจาก “คนในกลไกรัฐ” ที่เห็นช่องทาง “การแสวงหาประโยชน์ให้ตัวเองและพวกพ้อง” เกิดการ “ทุจริตคดโกงกันมโหฬาร” อย่างที่ถูกเปิดโปงออกมาแล้วเช่น “เงินช่วยเหลือค่าเล่าเรียนของเด็กด้อยโอกาส-งบเยียวยาบุคคลไร้ที่พึ่งและผู้ป่วยโรคเอดส์-
งบบูรณะวัด” หรือแม้กระทั่ง “งบซื้อวัคซีนพิษสุนัขบ้า” และแท้จริงแล้วย่อมเป็นที่รับรู้กันว่าน่าจะรวมถึง “อีกมากมายที่ยังไม่เปิดเผยออกมา” การบริหารจัดการประเทศชาติเช่นนี้ ย่อมเป็นธรรมดาที่ “การส่งผ่านไปยังผู้ด้อยโอกาสไม่กระจายตัวเท่าที่ควร”
…คำถามก็คือว่า “มันจะกระจายตัวได้อย่างไร” เมื่อทางหนึ่ง “ผู้มีอำนาจกำหนดนโยบาย” เอาแค่ “โอ๋นายทุน” สร้างมาตรการเอื้อให้เกิดการ “ผูกขาดผลประโยชน์” ไม่รู้จบรู้สิ้น เพื่อ “หวังว่าทุนใหญ่จะเวทนาไว้วางใจอำนาจรัฐ” ช่วยเกื้อหนุน “แบ่งทุนทำธุรกิจอุตสาหกรรม” เพื่อเริ่มต้นกำลังซื้อ อันเป็น
“หวังลมๆ แล้งๆ” มายาวนาน และอีกทางหนึ่ง “กลไกรัฐอันทุจริต” ได้ดูดซับ “งบประมาณที่หวังช่วยเหลือผู้ยากไร้ให้พอลืมตาอ้าปาก” ไปเข้าพกเข้าห่อ สร้างความร่ำรวยเพื่อ “เป็นทุนให้ใช้ผลักดันอาชีพการงาน และฐานะของตัวเองให้เจริญก้าวหน้าต่อไปในกลไกราชการ” และอาจจะเพราะสภาพของคนในประเทศเป็นอย่างนี้ เสียงเรียกร้องให้ “คืนประชาธิปไตย” จึงค่อยๆ ดังแรงขึ้นเรื่อยๆ
…แม้ว่าถึงวันนี้ยังมีคนที่เห็นว่า “ประชาธิปไตย” ที่ “อำนาจเป็นของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน” นั้น ยังไม่เหมาะกับประเทศไทยที่ “ประชาชนยังไม่ฉลาดพอที่จะใช้อำนาจ” ด้วยบุคคลเหล่านี้ “กลุ่มหนึ่ง ยังมองเห็นช่องทางที่ตัวเองจะได้ประโยชน์จากการกดข่มประชาชนส่วนใหญ่ไว้” และ “อีกกลุ่มหนึ่ง ที่ไม่เชื่อมั่นในเพื่อนร่วมสังคมส่วนใหญ่” แต่ถึงที่สุดแล้ว “ความไม่เป็นธรรม” ที่เห็นชัดขึ้น พร้อมกับ “ผลประโยชน์ที่ผูกขาดอยู่ด้วยอภิสิทธิ์ชน” ไม่รู้จบ ไม่รู้กระจาย จะเป็นแรงผลักดันให้ “คุณค่าประชาธิป
ไตย” ชัดเจนขึ้น อย่างน้อยในความรู้สึกนึกคิดของคนส่วนใหญ่ ซึ่ง “การเลือกตั้ง” เริ่มขึ้นเมื่อไร “อำนาจของคนส่วนใหญ่จะแสดงให้เห็นเมื่อนั้น”
…แน่นอน “ความหวาดผวา” ต่อ “อำนาจของคนส่วนใหญ่” ที่จะแสดงให้เห็นนั้นมีอยู่ และอาจจะกระตุ้นให้มีความพยายาม “ยื้อการเลือกตั้งออกไป” จนกว่าจะสร้าง “กลไกที่ทำให้เชื่อมั่นว่าจะเกิดการสยบยอมแบบราบคาบ” เพียงแต่วิธีการนั้น ย่อมเสี่ยงต่อปฏิกิริยาที่จะเกิดขึ้นเพื่อยืนยันใน “อำนาจประชาชน” ที่เป็นไปได้ว่าการแสดงให้เห็นถึงพลังนั้น อาจจะ “ไม่รอการเลือกตั้ง” ที่ยืดเวลาออกไปไม่รู้จบ และนั่นหมายถึง “ความยุ่งยากของทุกฝ่าย”
ชโลทร