…เสียงขานรับแบบ “เห็นดีเห็นงามไปตามเสนอ” ระเบิดเถิดเทิงพอสมควรหลังมีการเขี่ยลูกให้ส่ง ชวน หลีกภัย ขึ้นเวทีชิงเก้าอี้ “นายกรัฐมนตรี” ในนาม “พรรคประชาธิปัตย์” อีกรอบ เล่นเอาภายในพรรคปั่นป่วนพอสมควรเพราะดูท่า “คนที่เอาด้วยจะมากกว่า” ก่ออาการกระอักกระอ่วน ด้วยจะตอบกันอย่างไรว่าจะยก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไปวางไว้ที่ไหน ดังนั้นก่อนที่เรื่องราวจะบานทะโรคไปยิ่งกว่านี้ “นายหัวชวน” ต้องออกมาการันตีว่า “หัวหน้าพรรค” จะเป็น “หนุ่มมาร์ค” หากจะเลียนแบบ “มหาธีร์” ต้องรออีก 12-13 ปี ให้อายุ 90 กว่าก่อน
…อีกไม่กี่วันจะครบ “4 ปีรัฐประหาร 2557” ความตั้งใจหนึ่งที่ผ่านการบอกกล่าวโดย “หัวหน้าคณะรัฐประหาร-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” คือ “ต้องไม่เสียของ” โดยมี “รัฐประหารก่อนหน้านั้น” คือสมัย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้า เป็นตัวเปรียบเทียบ ความน่าสนใจอยู่ที่นิยามของคำว่า “เสียของ” มีความหมายอย่างไร
…ในมุมมองของ “บิ๊กบัง” อาจจะมองไม่เห็นว่า “เสียของ” ที่ตรงไหน เพราะ “ตัวเองได้รับการดูแลอย่างดีจากกองทัพ” ที่ “ปลูกบ้านพักส่วนตัวให้หลังเบ้อเร่อ” แถมเหลือ “ทุนรอนที่จะตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา” ซึ่งอย่างน้อยทำให้ “มีบทบาทต่อไปได้ในระดับหนึ่ง” แม้จะไม่มากมายอะไรนัก และในที่สุดจะต้องเลิกราไปก็ตาม แต่การเลิกรานั้นเป็นปกติของ “พรรคที่งอกออกมาจากกองทัพ” ตลอดมาอยู่แล้ว
…แต่เมื่อ “บิ๊กตู่” ประกาศทันทีว่า “จะไม่เสียของเหมือนที่ผ่านมา” ย่อมเกิดคำถามว่า “ของอะไรที่จะไม่เสียไป” ซึ่งดูเหมือนว่าคิดกันไปคนละทางสองทาง ในบางคนที่เอา “ข้ออ้างของรัฐประหาร” มาเป็นนิยามคือ “การปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่นให้หมดไป” ในมุมนี้แม้จะประกาศกฎหมายสูงสุดที่ให้คำนิยามว่า “รัฐธรรรมนูญฉบับปราบโกง” ได้สำเร็จ แต่ในรายละเอียดของการยอมรับที่เกิดขึ้นในใจคนทั่วไปนั้น ยังมีข้อกังขา เรื่อง “โกงและคอร์รัปชั่น” อยู่ไม่น้อยว่า “หมดไปหรือเพิ่มขึ้น” ด้วยเรื่องราว “ทุจริตต่างๆ ที่ปูดออกมามากมาย” ในช่วงที่ผ่านมา คำว่า “ไม่เสียของ” ในมุมนี้จึงยังเป็นความเห็นที่แตกต่าง
…หากมอง “ไม่เสียของ” ในมิติของ “การปฏิรูปประเทศด้านต่างๆ” จะพบว่าความคิดเห็นของใครต่อใครหลายคน สะท้อนถึงความเห็นที่แตกต่างเช่นกัน เมื่อ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ มือทำงานระดับหัวแถวของ “คสช.” ออกมาสะท้อนอารมณ์ “ท้อแท้” เรื่องผลงานปฏิรูป โดยมองว่า “ขยับไปไม่ได้มากกว่า แผน แล้วก็แผน” แถมยังเหมือนไม่เห็นด้วยที่จะ “ปฏิรูปกันแบบไม่รู้จบ” ไม่มีกรอบเวลาว่าจะเสร็จสิ้นกันเมื่อไร พร้อมทั้งมองว่า “การอาศัยข้าราชการเป็นตัวขับเคลื่อน” ไม่น่าจะใช่เรื่องที่ถูกต้อง
…การนำเสนอนี้เป็นการโยนประเด็นออกมาให้ “สังคมถกกันครั้งใหญ่” ในทางที่ว่า “4 ปีของรัฐประหาร” ในงานด้าน “ปฏิรูป” ล้มเหลว หรือเริ่มต้นไปได้ ความคิดที่เกิดขึ้นมีหลากหลาย แต่ที่น่าสนใจอยู่ใน “มุมมองของผู้มีบทบาท” ที่เกี่ยวข้อง เริ่มจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มองในทาง “ไม่เสียของ” แถมได้ทำอะไรต่ออะไรไปมากมาย แบบที่ผู้บริหารประเทศที่ผ่านมาไม่เคยได้ทำมาก่อน แถมเห็นว่า “การทำหน้าที่นี้ต้องใช้ข้าราชการ” ต่างจากที่ “บวรศักดิ์” เห็น เป็นการประกาศความสำเร็จ
…ไปในทางเดียวกับ สุเทพ เทือกสุบรรณ หรือ “ลุงกำนัน” ของ “มวลมหาประชา กปปส.” อันเป็น “กองทัพประชาชน” ที่ทำศึกกับ “รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง” เปิดทางให้ “ยึดอำนาจ” ที่มองว่า “ผลงานด้านปฏิรูปของ พล.อ.ประยุทธ์” ไม่เพียง “ไม่เสียของ” แต่ไปในทางคืบหน้าอย่างโดดเด่น เสียด้วยซ้ำ จึงไม่น่าจะยกไปไว้ในกลุ่มที่มองว่า “ไม่เสียของ”
…อย่างไรก็ตาม นักคิดคนสำคัญอย่าง บรรยง พงษ์พานิช โดยเสนอความคิดไว้ว่า “นี่เอาแต่แหกปาก ปฏิรูป ปฏิรูป ปฏิรูป มันเลยพายเรือในอ่าง นั่งชิงช้าสวรรค์ เล่นมอเตอร์ไซค์ไต่ถัง วนไปวนมาอยู่ที่เดิมเกือบทุกเรื่อง” คงไม่ต้องสรุปว่าเป็นความคิดในทาง “เสียของ” หรือไม่
…นั่นเป็นเรื่องของการมองที่แตกต่าง อย่างไรก็ตาม นิยามของคำว่า “เสียของ” ยังมีในมิติอื่น ซึ่งในจังหวะแห่ง “ยุทธการดูด” นี้ มีคนจำนวนไม่น้อยที่มองในเรื่อง “สืบทอดอำนาจต่อได้หรือไม่หลังการเลือกตั้ง” โดยตัดสินว่า “เสียของ” หรือไม่ที่กลับมาเป็น “ผู้นำรัฐบาล” ต่อได้หรือไม่ อันเป็นนิยามของคำว่า “เสียของ” ที่หมิ่นเหม่ระหว่างการมองเรื่อง “ผลประโยชน์ส่วนรวม” กับ “อำนาจส่วนตัว” และเวลากำลังเคลื่อนไปเพื่อให้คำตอบ
ชโลทร