สืบเนื่องกรณี นายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร สั่งการให้ขูดสีทองบนผนังด้านนอกของอุโบสถวัดไลย์ อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรีอย่างเร่งด่วน กระทั่งเกิดกระแสการตั้งคำถามว่า ที่ผ่านมาเหตุใดกรมศิลปากรจึงไม่ทราบว่ามีการทาสีทอง หรือเป็นการเพิกเฉยต่อการกระทำดังกล่าว เพราะวัดแห่งนี้ทาสีทองมาแล้วถึง 6 ปี (อ่านข่าว อธิบดีกรมศิลป์เยี่ยม ‘วัดไลย์’ ลพบุรี เจอโบสถ์สีทอง สั่ง ‘ขูด’ ทิ้งด่วน-ทามาแล้ว 6 ปี วัดเผย ‘ไม่รู้ต้องแจ้งก่อน’)
ล่าสุด เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน เวลาประมาณ 14.00 น. ‘มติชนออนไลน์’ ได้สอบถามไปยัง นายจารึก วิไลแก้ว ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 12 นครราชสีมา ในฐานะอดีตผอ.สำนักศิลปากรที่ 4 ลพบุรี เพื่อสอบถามถึงข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าว
นายจารึก เปิดเผยว่า ในช่วง พ.ศ.2557 ตนเข้ารับตำแหน่งผอ.สำนักศิลปากรในพื้นที่ดังกล่าว พบว่ามีการทาสีอุโบสถวัดไลย์เป็นสีทองแล้ว โดยได้รับทราบข้อมูลว่านางมานิตา เขื่อนขันธ์ ผอ.สำนักฯ คนก่อนหน้าตน เคยมอบหมายให้นายช่างประจำสำนักฯ เข้าแจ้งความไว้ที่สภ. ท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี ใน พ.ศ.2556 เนื่องจากเป็นความผิดตาม พรบ. โบราณสถาน โบราณวัตถุ และศิลปวัตถุ แต่ไม่มีความคืบหน้าใดๆ
ต่อมา ตนเดินทางลงพื้นที่หลายครั้ง และได้ส่งหนังสือถึงเจ้าอาวาสขอให้ระงับการดำเนินการดังกล่าว เพราะพบว่าหลังการทาสีทองครั้งนั้น ยังมีการทาซ้ำอีกอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่เป็นผลเช่นกัน ส่วนตัวอยากให้มีการดำเนินการทางกฎหมาย เนื่องจากเป็นคดีอาญา ยังไม่หมดอายุความ อย่างไรก็ตาม ต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของผอ.สำนักศิลปากรที่ 4 ลพบุรีคนปัจจุบันว่าจะตัดสินใจอย่างไร
“กลุ่มคนที่มาทาสีทอง คือ คนมีหน้ามีตาของลพบุรี เป็นอดีตสส. พาพรรคพวกมา วัดกับชาวบ้านเลยเกรงใจ ตอน ปี 2556 ผอ.ศิลปากรคนก่อนหน้าผม เคยให้นายช่างไปแจ้งความไว้ที่ สภ.ท่าวุ้ง แต่คนกลุ่มนี้ไม่หยุด ยังทาไปเรื่อย ๆ จนเสร็จ และยังมาทาซ้ำอีกเรื่อยๆ ผมต้องคอยลงพื้นที่ไปดู และหนังสือถึงเจ้าอาวาสขอให้ระงับ พอเผลอๆ ท่านก็ให้คนมาทาสีอีก ไม่ฟังกรมศิลป์เลย สีทองที่เอามาทา เป็นสีน้ำมัน เลยลอก ต้องทาใหม่เรื่อยๆ ในขณะที่การบูรณะอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ จะต้องทำความสะอาดผิวปูน ส่วนไหนที่ผุกร่อนต้องกะเทาะ แล้วฉาบใหม่ คนโบราณใช้สีน้ำปูน เดิมเป็นสีขาว โบสถ์หลังนี้ น่าจะสร้างในสมัยรัตนโกสินทร์ แต่สร้างบนพื้นที่โบสถ์เก่า ใกล้กับวิหารเก้าห้องสมัยอยุธยา วัดนี้เป็นอารามสำคัญ รัชกาลที่ 5 เคยเสด็จที่นี่ด้วย” นายจารึกกล่าว