‘ช่อ’ ให้สัมภาษณ์ครั้งแรก ขออภัยโพสต์รูปวันรับปริญญา ยอมรับ มองกลับไปรู้สึกไม่เหมาะสม

“ช่อ” ขออภัยปมโพสภาพรับปริญญา รับ เมื่อมองย้อนกลับไปรู้สึกไม่เหมาะสม บอก เสียใจที่ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงที่ไม่สร้างสรรค์ขึ้นในวันที่ประเทศต้องการเดินไปข้างหน้า ย้ำ ไม่อยากให้ใช้เรื่องดังกล่าวมาไล่ล่า-โจมตีกันทางการเมือง

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 19 มิถุนายน ที่รัฐสภาชั่วคราว อาคารทีโอทีสำนักงานใหญ่ ถนนแจ้งวัฒนะ น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ให้สัมภาษณ์ชี้แจงกรณีการโพสภาพรับปริญญา ว่า เป็นการโพสเฟซบุ๊กตั้งแต่สมัยที่เรียนจบใหม่ๆ ซึ่งขณะนั้นสถานการณ์ทางการเมืองมีความเข้มข้น รุนแรง และมืดมนที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยในช่วงหลายสิบปีที่ผ่าน ซึ่งยุคที่ตนเป็นนิสิต การเมืองมีความเข้มข้น เพราะมีการรัฐประหารปี 49 ในวันที่ตนเข้าเรียนปี 1 เพียงไม่กี่เดือน และจบในช่วงที่มีการชุมนุม และสังหารหมู่ประชาชนปี 53 ซึ่งการที่เราเรียนคณะรัฐศาสตร์ความสนใจทางการเมืองจึงเป็นไปอย่างเข้มข้น และเด็กคณะรัฐศาสตร์หลายๆมหาวิทยาลัยมีความตื่นตัว และสนใจทางการเมืองค่อนข้างสูง

เมื่อถามว่า รูปที่ออกมาอาจมีการพาดพิงเบื้องสูง น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า การจะพาดพิง หรือไม่พาดพิงนั้นคงแล้วแต่การตีความ สำหรับรูปที่เป็นปัญหา ตนยอมรับว่าเมื่อมองย้อนกลับไป ภาพมีความไม่เหมาะสม และอาจก่อให้เกิดความไม่สบายใจเนื่องจากการตีความที่หลากหลายของแต่ละกลุ่มบุคคล ซึ่งเป็นสิทธิของแต่ละคนที่จะตีความ ซึ่งตนต้องขออภัยอีกครั้งที่ภาพนี้ทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจ และตนก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่งที่ภาพนี้ทำให้เกิดบทสนทนาที่ไม่สร้างสรรค์บนโซเชียลมีเดีย มีการใช้วาจาสร้างความเกลียดชัง และนำไปสู่บทสนทนาที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายไหนเลยในสภาวะที่สังคมไทยต้องการเดินไปข้างหน้า

เมื่อถามว่า เรื่องดังกล่าวอาจนำไปสู่การฟ้องร้องดำเนินคดีอาญา น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า กระบวนการทางกฎหมายก็คงเป็นไปตามขั้นตอน แต่ขณะนี้ทางตนยังไม่ได้รับแจ้งจากตำรวจ จึงต้องรอความชัดเจนจากทางเจ้าหน้าที่ ดังนั้น เราจึงไม่สามารถชี้แจงอะไรได้ เพราะยังไม่ได้รับการแจ้งมา ทั้งนี้ ตนพร้อมชี้แจง สำหรับการดำเนินการของฝ่ายกฎหมายพรรคอนค.นั้น เรายังไม่ได้มีการพูดคุยกัน เพราะต้องรอกระบวนการ เรื่องทางคดีความก่อนว่าตำรวจจะรับแจ้งความหรือไม่ และรับโดยข้อหาอะไร เพราะจากที่ปรากฎเป็นข่าวตามสื่อก็เป็นเพียงข่าวซึ่งเรายังไม่ได้รับแจ้งจากทางตำรวจอต่อย่างใด

Advertisement

“พรรคอนค. ไม่ต้องการให้นำสถาบันมาเป็นเครื่องมือโจมตี ทำลายล้างทางการเมือง ตนไม่ใช่นักการเมืองคนแรง และนักการเมืองตนสุดท้ายที่โดนโจมตีในข้อหาแบบนี้ ซึ่งทุกคนได้เห็นอยู่แล้วว่าไม่ได้ส่งผลต่อดิฉันอย่างเดียยว แต่ยังส่งผลถึงครอบครัว เพื่อน ซึ่งเราไม่ได้เตรียมใจที่จะได้รับแบบนี้ เราตัดสินใจทำงานทางการเมือง เรารู้ว่าจะเผชิญกับอะไร แต่พ่อแม่ และเพื่อนของเรา ไม่สมควรต้องมารับผิดชอบต่อการตัดสินใจของเรา และเหตุการณ์นี้ทำให้เรื่องบานปลายไปถึงพ่อ และเพื่อนของตน ซึ่งดิฉันไม่สบายใจ และเป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่า เวลาเรานำเรื่องแบบนี้มาโจมตีทางการเมือง ทำให้เกิดความเสียหาย ซึ่งดิฉันเสียใจที่สุด” น.ส.พรรณิการ์ กล่าว

น.ส.พรรณิการ์​ กล่าวอีกว่า ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ฝ่ายที่เป็นประชาธิปไตย หัวก้าวหน้า มักจะถูกสกัดกั้นทางการเมืองด้วยข้อหานี้ เพราะเป็นเรื่องที่ไม่สามารถแก้ตัวได้เลย แม้จะทำได้ แต่บั้นปลายชื่อเสียงความน่าเชื่อถือทางสังคมหมดแล้ว อีกทั้งยังมีโทษหนัก จึงขอร้องว่า อย่านำสถาบันพระมหากษัตริย์มาโจมตีทางการเมือง เชื่อว่า ประเทศไทยมีจุดยืนร่วมกันแล้วเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ พรรคอนาคตใหม่ตัดสินใจเข้ามาทำงานการเมืองในระบอบรัฐสภา ย่อมชัดเจนแล้วว่า อนาคตใหม่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข การทำงานในรัฐสภาก็ต้องเดินไปทางนี้

เมื่อถามว่า จะกระทบต่อความเชื่อมั่นในการทำงานของพรรคหรือไม่ น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า หนึ่งปีที่ผ่านมาพรรคก็ถูกโจมตีด้วยเรื่องนี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรก บุคคลอื่นและตัวพรรคเองก็เคยโดน เราได้แต่ยืนยันและหวังว่า สิ่งที่เราต้องการสื่อสารจะไปถึงประชาชนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อถูกโจมตีแบบนี้ อนาคตใหม่ ตั้งใจทำงานการเมืองด้วยความหวัง เพื่อทำลายการเมืองด้วยความกลัว แน่นอนว่า การที่เราพุ่งชนปัญหาและผู้มีอำนาจ จึงต้องเจออุปสรรคเยอะ แต่ยังเดินหน้าต่อไป เชื่อว่า ผู้สนับสนุนและไม่สนับสนุนเราที่รักความเป็นธรรมจะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น

Advertisement

เมื่อถามว่า โพสต์ว่าพรีโฮห์จิมินห์หมายถึงอะไร น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า นี่เป็นประวัติศาสตร์เวียดนาม มีความชัดเจนในตัวเอง ภาพที่ถ่ายเล่นๆนั้นสวมหมวกเวียดนามถือตราสัญลักษณ์ จึงโพสต์โยงไปถึงประวัติศาสตร์เวียดนาม ซึ่งต่างจากประวัติศาสตร์ไทย เส้นทางของคอมมิวนิสต์ในเวียดนาม ประชาธิปไตยในไทย ไม่ได้ซ้อนทับกัน ไม่อาจเปรียบเทียบกันได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่จำบริบทตอนโพสต์ไม่ได้แล้ว เป็นการถ่ายกันเล่นๆ ในที่ทำงาน ซึ่งในสถานีโทรทัศน์จะมีการตั้งตราสัญลักษณ์อยู่แล้ว การที่โพสเฟซบุ๊กเป็นความรับผิดชอบอยู่แล้ว การโพสในสมัยที่อาจจะเข้มข้มหรือรุนแรงกว่านี้ แต่เมื่อการเวลาผ่านไปการเดินทางทางความคิดก็เปลี่ยนไป ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ถ้าย้อนกลับไปจะแก้ไขอะไรหรือไม่นั้น อดีตเป็นเรื่องของอดีต ปัจจุบันเป็นเรื่องปัจจุบัน การตัดสินในปัจจุบันเป็นสิ่งที่วิญญูชนทำกัน การเดินทางทางความคิดประวัติศาสตร์ไทย

“การเดินทางของนักศึกษาเดือนตุลาฯเข้าป่ามีความสุดโต่ง เวลาผ่านไปอีกก็เรียนรู้ว่าไม่ใช่แล้วก็กลับมา รัฐบาลในยุคนั้นก็ได้รับการยกย่องสรรเสริญ เพราะไม่ได้กำจัดพื้นที่ความคิดแตกต่าง แต่ว่าให้พื้นที่คนเหล่านี้กลับมากลายเป็นภูมิปัญญาของประเทศชาติ ที่สำคัญสังคมจะอยู่อย่างสมานฉันท์ได้ ไม่ใช่การยึดความคิดทั้งหมดไว้ ไม่ให้ที่คนเห็นแต่าง แต่ต้องให้พื้นที่ทุกคน อย่างกรณีของดิฉันนั้นไม่ถือว่า สุดโต่ง การตั้งคำถามถึงจุดยืนที่เกี่ยวข้องกับสถาบันทางการเมือง ซึ่งตอนนั้นนิสิตนักศึกษาต่อต้านการรัฐประหารมาก แต่ถูกป้ายสีว่า ไม่จงรักภักดี โดยไม่มีทางแก้ตัว จนสังคมตัดสินไปแล้ว ตอนนั้นจึงตั้งคำถามกับการใช้สถาบันเป็นเครื่องมือทางการเมือง ตอนนี้เปลี่ยนไปเยอะ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนของสังคมนี้คือการใช้สถาบันเป็นเครื่องมือทำลายกันทางการเมือง” น.ส.พรรณิการ์ กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image