พายุใหญ่แห่งการทำลายล้างเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 กำลังถูกลืม
ก่อนหน้านั้น ที่ไม่ได้จดจำคือ บทบาทของ “อเมริกา” กับ “กอ.รมน.” ที่ไม่ได้มอง “ลัทธิการเมือง” เป็น “ปรัชญาการเมือง” ที่แตกต่าง
แต่เป็น “ภัยคุกคาม”!
เมื่อเป็นภัยก็ต้องมีวิธีรับมือ
ก่อน 6 ตุลาคม 2519 เครือข่ายวิทยุทหารเป็นเครื่องมือสื่อสารในการจุดไฟให้เกิดความเกลียดชัง จากนั้นจึงแบ่งแยกประชาชน พร้อมกับจัดตั้งกองกำลังพลเรือน กระทิงแดง นวพล ลูกเสือชาวบ้าน ฝึกให้ชาวบ้านใช้อาวุธ ใช้ประชาชนให้ไล่ล่าประชาชน
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว สังคมไทยมี “ระบบความคิด” และธรรมเนียมสำหรับจัดการกับผู้ขัดขืน !
การสร้างนิสัยให้ยอมรับ “อำนาจ” ที่เหนือกว่าเริ่มตั้งแต่ที่บ้าน ที่โรงเรียน ฝึกฝนอบรมกันในสถาบันการศึกษา ในหน่วยราชการ และฝังอยู่ในโครงสร้างการเมืองการปกครอง
“ระบบราชการ” เป็นตัวแทนโครงสร้างอำนาจของชนชั้นนำ
“ชนชั้นนำ” ครอบครองและควบคุมอำนาจทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ และทางวัฒนธรรมมาหลายทศวรรษ
หากจะผ่องถ่ายอำนาจจากระบบราชการไปสู่พลเมืองหรือประชาชนทั่วไป นั่นก็ไม่ใช่ “การกระจายอำนาจ”
แต่เป็นการ “ให้” จากชนชั้นนำ
“ประชานิยม” เป็นระบบความคิดที่สั่นคลอนโครงสร้างอำนาจและวัฒนธรรมเดิมๆ เพราะเป็น “นโยบายทางการเมือง” ที่ชวนให้ผู้คนเชื่อว่า เป็นสิทธิอันชอบธรรมที่รัฐพึงจัดให้ ไม่ใช่ “การรอรับ” เหมือนการรับบริจาค
ประชานิยมจากพรรคการเมืองจึงเป็นนโยบาย ไม่ใช่การให้ทาน !
ต่างจากแนวคิดสังคมสงเคราะห์ที่ผู้มีอำนาจเหนือกว่าหยิบยื่นให้แก่ผู้น่าสงสารหรือผู้น่าสมเพชไร้ที่พึ่งพา ซึ่งเป็นการแบ่งสันปันส่วนที่ชนชั้นนำหยิบยื่นให้ ไม่ใช่โอกาสอันเท่าเทียมในการเข้าถึงและครอบครองทรัพยากร
กล่าวถึงด้านการเมืองถึงแม้จะได้ชื่อว่า ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยก็ไม่สะดวกใจที่จะเป็นประชาธิปไตยอย่างที่โลกเป็น
จึงต้องมีคำว่า “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ”
ความหมายก็คือ เป็นประชาธิปไตยก็ได้ แต่ “ห้าม” แตะต้องโครงสร้างอำนาจที่ “ชนชั้นสูง” อยู่ในฐานะผู้ได้เปรียบ
เป็นประชาธิปไตยก็ได้ แต่ไม่ได้หมายถึง สิทธิอันชอบธรรมของพลเมือง
เป็นประชาธิปไตยแบบ “การให้ทาน” จากชนชั้นนำ
เป็นการ “ให้” แบบมีการกำกับและควบคุม ผ่านกติกาที่เรียกว่า รัฐธรรมนูญ
การคิดแก้รัฐธรรมนูญที่ชนชั้นนำ
บรรจงสร้างจึงเป็นการสั่นคลอนโครงสร้างอำนาจ
ต้องจับตาดู “วิธีรับมือ” ของชนชั้นนำ !?!!