ผู้เขียน | สุชาติ ศรีสุวรรณ |
---|
หลังจากประเทศไทยเรากลับเข้าสู่การปกครองประเทศ โดย “รัฐประหาร” ใช้กำลังทหารและอาวุธยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และวางรากฐานเพื่อกลไกของกองทัพเข้ามาควบคุมศูนย์กลางอำนาจรัฐต่อเนื่อง
สิ่งหนึ่งที่ถูกนำมาใช้เป็นแนวทางจัดการประเทศคือ “ความเป็นไทย”
การเขียนรัฐธรรมนูญ และการวางโครงสร้างอำนาจที่มีการพูดถึง “ประชาธิปไตยที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมความเป็นไทย” เป็นเหตุผลหนึ่งที่ใช้เป็นข้ออ้างเพื่อคัดง้างกับเสียงเรียกร้องประชาธิปไตยแบบสากลโลก
มีความพยายามชี้นำให้เห็นความจำเป็นที่จะต้องสร้างการอยู่ร่วมกันในแบบยึดถือ “ความเป็นไทย” อันหมายถึง “การกลับมาสู่วัฒนธรรมอันเป็นรากฐานของสังคมไทย” ไว้ เพื่อไม่ให้เกิด “การพัฒนาแบบ ไร้ราก” อันหมายถึงพากันล่องลอยไปกับความเจริญตามกระแสของประเทศอื่น โดยเฉพาะกระแสจากประเทศตะวันตก
ความพยายามที่จะดึงค่านิยมของคนในชาติกลับปลูกฝังในแผ่นดินวัฒนธรรมไทยนั้น ลงมือลงแรงกันอย่างจริงจังตั้งแต่สร้างหลักสูตรการศึกษา ฟื้นฟูกิจกรรมทางวัฒนธรรม สร้างองค์กรขับเคลื่อนอุดมการณ์ชาตินิยมขึ้นมา
จนกระทั่งถึงมาตรการรุนแรง ด้วยการสร้างเครือข่ายรณรงค์จัดการกับกลุ่มคนที่ไม่ร่วมเดินด้วยข้อกล่าวหา “ชังชาติ” ขยายตัวสู่การสร้างวัฒนธรรมต่อต้าน “ชังชาติ” ขึ้นมา
อันเป็นขบวนการนำพาประเทศชาติที่ทำให้วิญญูชนทั้งหลายจับจ้องมองอย่างไม่กะพริบตาเพื่อคาดเดาอนาคตของชาติว่าจะเป็นไปเช่นใด
คนรุ่นหลังๆ ที่เกิดขึ้นมาใหม่ จะรับรู้และอยู่ร่วมกัน การนำพาประเทศไปในทิศทางเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม มีคนไม่น้อยที่มองว่า “ภูมิปัญญา” อันเกิดจากประสบการณ์ของบรรพบุรุษไทย ที่หล่อหลอมมาเป็น “วัฒนธรรมไทย” นั้น ไม่เพียงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร แต่หลายเรื่องเป็นความดีงามเสียด้วยซ้ำ
อย่างหนึ่งที่สะท้อนว่าเป็น “ภูมิปัญญาอันเกิดจากประสบการณ์” ที่มีคุณค่าคือ “สุภาษิต คำพังเพย” ต่างๆ ซึ่งเป็นการบันทึกผลึกความคิดอันเป็น “ภูมิปัญญา” เพื่อให้คนรุ่นหลังหยิบฉวยมาใช้เตือนใจ เรียนรู้วิธีการเมื่อต้องเผชิญกับปัญหา
ในช่วงนี้มี “คำพังเพย” หนึ่งที่น่าวิเคราะห์ยิ่ง
เพราะเป็น “ภูมิปัญญา” ที่หากนำมาเป็นบทเรียนใช้กับโศกนาฏกรรมที่โคราชจะเป็นประโยชน์ยิ่ง
นั่นคือคำพังเพย “ลิงแก้แห”
ที่มาของสำนวนนี้คือ “ลิงแถวๆ ชายป่า เคยเห็นชาวบ้านนำแหมาทอดจับปลาที่บึงใหญ่ ก็เข้าใจว่าเป็นวิธีที่จะได้กุ้ง ปลา มากินได้ง่ายๆ วันหนึ่งชาวบ้านเผลอวางแหไว้ที่ริมบึง เพื่อกลับไปทำธุระที่บ้าน ลิงเห็นเป็นโอกาสเหมาะจึงเข้าไปหยิบเอาแหมา หมายจะจับปลากินบ้าง แต่ด้วยความที่ไม่รู้วิธีใช้แห ประกอบกับมีนิ้วมือ นิ้วเท้า เล็บ ที่เรียวยาวเก้งก้าง แหจึงพันเกี่ยวจนยุ่งเหยิง แก้แกะไม่หลุดแถมเมื่อแกะนิ้วนี้ ยังไม่ทันหลุด แหก็ไปพันเอานิ้วอื่น เท้าอื่น นัวเนียยุ่งเหยิงมากขึ้นทุกที ยิ่งดิ้นยิ่งพันแน่นเข้าจนพันไปทั้งตัวและพลัดตกลงไปในน้ำ จมน้ำตายในที่สุด”
“ลิงแก้แห” เป็นสำนวนคนโบราณที่ต้องการเตือนผู้คนให้พึงระมัดระวัง จะทำการใดๆ จงคิดพิจารณา ไตร่ตรองให้รอบคอบ หาข้อมูลความรู้ให้เพียงพอ ก่อนตัดสินใจลงมือทำ อย่าให้เกิดสภาพที่ไม่รู้จริง เกิดปัญหาทับซ้อนหลายปม พันกันยุ่งเหยิงชนิดที่แกะแก้อย่างไรก็ไม่สามารถคลี่คลายได้ เปรียบเสมือนลิงแก้แห ซึ่งในที่สุดอาจจมน้ำตายได้
โศกนาฏกรรมที่โคราชล่าสุด ที่แก้กันจนบานปลายกันไปใหญ่กระทบต่อภาพลักษณ์ของผู้นำ ทั้งผู้นำประเทศ และผู้นำเหล่าทัพ อย่างที่เห็นกันอยู่
สะท้อนว่า “วัฒนธรรมความเป็นไทยอันเป็นรากฐานของการอยู่ร่วมกัน” นั้น เป็นภูมิปัญญาที่มีประโยชน์ไม่น้อย หากคนในชาติเข้าถึงบทเรียน และสามารถหยิบฉวยคุณค่ามาใช้ได้อย่างแท้จริง
แต่ไม่ว่าจะเป็น “วัฒนธรรม” ที่ทรงคุณค่าสักเพียงใดก็ตาม จะไม่มีประโยชน์อะไรกับคนที่ไม่ได้เรียนรู้เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างแท้จริง
ยิ่งพวกที่แค่คิดอาศัยวัฒนธรรมความเป็นไทยมาเป็นเครื่องมือทำลายล้างคนอื่น โดยไม่เคยรู้ตัวเองว่าในความรู้สึกนึกคิด ความเชื่อมี “คุณค่าของภูมิปัญญาไทย” อยู่บ้างหรือไม่
ข้อกล่าวหา “ชังชาติ” อันออกจากปากคนพวกนี้ย่อม “เหม็นเน่า” เนื่องจาก “จอมปลอม” และ “น่ารังเกียจ” ยิ่ง