พิธา ซัดรบ. สร้างมหาประยุทธภัย หัวเก่า เก่งถมเงินกระตุ้นศก. 6ปีผลาญ 20ล้านๆ จนดื้อยา

“พิธา” ลั่น ไม่รับงบ’64 อัด “บิ๊กตู่” 6 ปี ผลาญงบ 20 ล้านๆ มากสุดในปวศ. แต่กระตุ้นศก.ได้หยิมเดียว เชื่อ รบ.จ่อกู้อีก 1.3 ล้านๆบาท หลังรายได้ไม่เข้าเป้า แนะ เปลี่ยนวิธีคิด เร่งพึ่งพาตัวเอง กระจายอำนาจ หาฐานภาษีใหม่ๆ

เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ที่รัฐสภา เกียกกาย มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.รายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 วงเงินไม่เกิน 3.3 ล้านล้านบาท ในวาระแรก ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอ โดย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ปี 2564 นอกจากจะเป็นปีที่ประชาชนทุกข์อย่างแสนสาหัสแล้ว ยังเป็นปีที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ชาติไทยด้วยว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้ใช้งบประมาณแผ่นดินครบ 20 ล้านล้านบาท นับตั้งแต่เข้าบริหารประเทศจากการยึดอำนาจตั้งแต่ปี 2557 โดยเป็นนายกฯที่ใช้งบประมาณต่อเนื่องมากที่สุด แต่ที่น่าแปลกใจคือ เงินจำนวน 20 ล้านล้านบาท สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้น้อยมาก เพราะเศรษฐกิจไทยดื้อยาอย่างหนัก เป็นมหาประยุทธภัยที่ยิ่งเพิ่มงบประมาณเท่าไหร่ ความเชื่อมั่นยิ่งลดลง ถมงบลงเท่าไหร่เศรษฐกิจก็ไม่กระเตือง เพราะสิ่งที่พวกเราเผชิญอยู่เป็นมหาวิกฤตที่โลกกำลังปรับตัว และไทยจะถูกบังคับให้ต้องเปลี่ยน แม้เวลานี้รัฐบาลไทยกุมทรัพยากรของประเทศมหาศาลอันเป็นเงินภาษีของประชาชนสูงถึง 7.5 ล้านล้านบาท สำหรับการแก้ไขวิกฤต ซึ่งถ้ารัฐบาลใช้เป็น เราจะพลิกวิกฤตเป็นโอกาส หรืออย่างน้อยก็น่าจะทุเล่าความทุกข์ของคนไทยได้ แต่สิ่งที่น่าเสียดาย คือการจัดงบประมาณก้อนนี้ ทำเหมือนไทยไม่มีวิกฤต เพราะจัดงบประมาณไม่ได้ต่างกับงบประมาณปี 2563 เลย ไม่มีอะไรเปลี่ยน นี่จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่การจัดงบแบบเดิมแล้วจะหวังผลลัพธ์แบบใหม่ได้ ทั้งๆที่รัฐบาลมีประชาชนกว่า 30 ล้านคน เป็นเดิมพัน โดยงบประมาณรายจ่ายก้อนนี้จะชี้ชะตาพวกเขาว่า จะจมหายไปกับวิกฤตครั้งนี้หรือไม่

“ท่ามกลางวิกฤต รายรับของรัฐบาลยังมีปัญหา สำนักงบประมาณของรัฐสภา ประเมินไว้ว่า รายได้ของรัฐจากการเก็บภาษีในปี 2563-2564 จะหลุดเป้ารวมถึง 7 แสนล้านบาท ผมฟังแล้วขนหัวลุก เพราะวันนี้ตัวเลขจริงการของเก็บภาษีของ 8 เดือนที่ผ่านมาของปีนี้ เราเก็บภาษีหลุดเป้าจริงไปแล้วถึง 2 แสนล้านบาท ดังนั้น เมื่อรายได้หลุดเป้า จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่รัฐบาลจะต้องกู้เพิ่มอีก จากการประมาณการณ์ว่า ปีนี้จะขาดดุลกว่า 6 แสนล้านบาท ถ้ารายรับปี 2563-2564 หลุดเป้า ดีไม่ดี รัฐบาลอาจจะต้องเตรียมตัวกู้เพิ่มอีกมากถึง 1.3 ล้านล้านบาท อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่า สถานการณ์ทั้งรายจ่ายและรายได้ของประเทศหนักหนามาก การใช้จ่ายต้องคุ้มค่ามาก ตอบโจทย์สถานการณ์ และตรงกับนิยามความมั่นคงรูปแบบใหม่ที่ได้เปลี่ยนไปแล้ว วันนี้ไม่ใช่เวลาของเรือดำน้ำ รถหุ้มเกราะ กระสุนปืน หรือไม่ใช้เวลาของการสร้างถนน ทำป้าย หรือติดกล้อง แต่เป็นเวลาของวัคซีน การสร้างงาน ความมั่นคงทางสาธารณสุข อาหาร และสิ่งแวดล้อม รัฐบาลคือความหวังสุดท้ายของประชาชน ประเทศจะรอดได้ รัฐบาลต้องใช้เงินเป็น หาเงิน และกู้เงินเป็น ต้องใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เป็นและคุ้มค่า ประชาชนถึงจะมีความหวัง ” นายพิธา กล่าว

นายพิธา กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาดูงบประมาณนี้ ประชาชนจะตอบได้เองว่า เป็นความหวัง หรือจะทำให้สิ้นหวัง เพราะล้วนเป็นงบข้าราชการ ไม่ใช่งบประชาชน สะท้อนให้เห็นถึงความอุ้ยอ้ายของรัฐราชการ แต่สิ่งที่คนไทยต้องการจากนี้คือ รัฐบาลที่หาเงินเป็น เพราะจากวิกฤตรัฐบาลจะหารายได้ยากมาก ยิ่งเศรษฐกิจไทยที่ผ่านมาพึ่งพาการส่งออก และการท่องเที่ยวมากเกินไป เมื่อวิกฤตโควิดทำให้การส่งออกลดลง 30 % และไม่มีนักท่องเที่ยวเลย เศรษฐกิจจึงซบเซ้าเป็นธรรมดา จึงอยากฝากถึงรัฐบาลว่า โลกข้างหน้า คือโลกที่เราต้องพึ่งพาตัวเองให้มากที่สุด เราจะพึ่งพาต่างประเทศไม่ได้แล้ว เราต้องพยายามสร้างนวัตกรรมใหม่ๆทดแทน การกินบุญเก่าของอุตสาหกรรมเก่าๆ รวมถึงการหาฐานภาษีใหม่ๆที่จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับรัฐบาลที่กำลังจะถังแตก ซึ่งการกระจายอำนาจจะเป็นหัวหอกสำคัญในการปลุกศักยภาพทางเศรษฐกิจ และทรัพยากรของไทย ให้การคลังท้องถิ่นจัดเก็บรายได้มากขึ้น ที่สำคัญรัฐบาลต้องบริหารให้เกิดความน่าเชื่อถือ สร้างเสถียรภาพให้ประเทศ การกู้เงิน ต้องกู้เพื่อหารายได้ให้ประเทศ ถ้ากู้เพื่อแบ่งเค้กคอร์รัปชั่นกินกันเอง เอามาปราบปรามประชาชนที่เห็นต่าง เศรษฐกิจจะยิ่งวิกฤตไปกันใหญ่ จึงขอฝากถึงนายกฯว่า งบ 2564 จะแก้วิกฤตได้ เพราะร่างมาเหมือนประเทศไม่ได้อยู่ในวิกฤต โลกปรับแต่ไทยไม่เปลี่ยน เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตนจึงไม่สามารถเห็นชอบร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ในวาระแรกได้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image