ผู้เขียน | ปิยมิตร ปัญญา [email protected] |
---|
คอลัมน์ โกลบอลโฟกัส : ชินโสะ อาเบะ ความสำเร็จและล้มเหลว
การประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นของ ชินโสะ อาเบะ ไม่เพียงสร้างเซอร์ไพรส์ไปทั่วโลกเท่านั้น แม้แต่คนใกล้ชิดในรัฐบาลและพรรคเสรีประชาธิปไตย พรรครัฐบาลของญี่ปุ่นก็ยังประหลาดใจไปตามๆ กันเพราะความกะทันหันชนิดคาดไม่ถึง
อาเบะ แม้จะไม่ใช่นายกรัฐมนตรีที่ชาวญี่ปุ่นชื่นชอบมากที่สุด แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นนายกรัฐมนตรี ที่อยู่ในตำแหน่งยาวนานที่สุดของญี่ปุ่น
กว่า 7 ปีของการอยู่ในคำแหน่งผู้นำญี่ปุ่น อาเบะ สร้างความต่อเนื่องและเสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศขึ้นนอกเหนือความคาดหมายของหลายคน ที่คิดตั้งแต่ต้นมือว่า นายกรัฐมนตรีอาเบะ ก็คงเป็นเหมือนกับผู้นำญี่ปุ่นอีกหลายคนก่อนหน้านั้น ที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามารับตำแหน่ง ซึ่งเกิดขึ้นแทบจะทุกปี
โดยเฉพาะเมื่อการดำรงตำแหน่งครั้งแรกของ อาเบะ ระหว่างปี 2006-2007 ก็สอดคล้องกับแนวโน้มทางการเมืองที่ว่านั้น
ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ การลาออกจากตำแหน่งเมื่อครั้งนั้น ก็ด้วยเหตุผลเดียวกับการลาออกในคราวหลังสุดนี้ นั่นคือ สุขภาพส่วนตัวที่ย่ำแย่เพราะอาการอักเสบของบาดแผลในลำไส้ใหญ่ ซึ่งรบกวนอาเบะมาตลอด
การกลับคืนสู่แวดวงการเมืองอีกครั้ง เมื่อปี 2012 อาเบะกลับสร้างสถิติใหม่ของการอยู่ในตำแหน่งขึ้นได้สำเร็จ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความเชี่ยวกรากทางการเมือง อีกส่วนหนึ่งเกิดจากการแตกแยก ไม่สามารถรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนของพรรคฝ่ายค้าน
แต่ส่วนสำคัญที่สุด ยังคงเป็นการแพทย์สมัยใหม่ ที่ช่วยให้อาการของอาเบะอยู่ในระดับ “ควบคุมได้” ขึ้นมา
จนกระทั่งเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ขึ้น บังคับให้ผู้นำญี่ปุ่นต้องทำงานหนัก “แทบทุกวัน” ไม่มีวันหยุดพักผ่อน อาการอักเสบจึงกลับมากำเริบอีกครั้ง
กระบวนการรักษาเยียวยาใหม่ ที่จำเป็นต้องทำต่อเนื่อง กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ชินโสะ อาเบะ ตัดสินใจอำลาตำแหน่งในที่สุด
ในวันแถลงการตัดสินใจต่อประชาชนทั้งประเทศ แทนที่นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นจะทำเช่นเดียวกันกับผู้นำอื่นๆ ทั่วโลก ที่มักเน้นถึงความสำเร็จที่ผ่านมา
อาเบะกลับทำในทางตรงกันข้าม ด้วยการแสดงความเสียใจอย่างลึกซึ้ง บางช่วงบางตอนเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก เสียดายที่ไม่มีเวลาทำในสิ่งที่ตั้งใจทำให้สำเร็จ
“ผมขออภัยต่อประชาชนจากส่วนลึกของหัวใจ ต่อการต้องพ้นจากตำแหน่งท่ามกลางการระบาดของโควิด ในขณะที่นโยบายหลายอย่างยังคงรุดหน้าได้แค่ครึ่งทางเท่านั้น”
ขณะที่เสียงสนับสนุนและยอมรับในภารกิจการเป็นนายกรัฐมนตรีของชาวญี่ปุ่นต่ออาเบะ ยังคงเป็นหนึ่งในผู้นำที่มีความนิยมอยู่ในระดับต่ำที่สุดเพียงแค่ 30-35 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น
ผู้นำของหลายประเทศทั่วโลกกลับอดรู้สึกเสียดายผู้นำที่นำญี่ปุ่นกลับมามีบทบาทบนเวทีโลกอีกครั้งรายนี้ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อ อาเบะ ก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมตรีญี่ปุ่นในปี 2012 นั้น เศรษฐกิจของประเทศกำลัง ตกอยู่ในสภาพโซซัดโซเซ ค่อยๆ ทรุดลงทีละเล็กทีละน้อย มานานร่วม 20 ปี นับตั้งแต่ฟองสบู่เศรษฐกิจที่ขยายตัวเติบโตสูงแต่เปราะบางอย่างยิ่งมานานแตกดังโพละ เมื่อปี 1990
ผู้นำหลายคนก่อนหน้าเคยพยายามหาช่องทางเพื่อฟื้นฟูสภาวะเงินฝืดที่รังแต่จะกลืนกินตัวเองไปเรื่อยๆ แต่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
และแม้เศรษฐกิจจะซวนเซ แต่ค่าเงินเยนของญี่ปุ่นกลับพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเนื่องจากสถานะ “เซฟ เฮเวน” ในโลกการเงิน
การแข็งค่าของเงินเยนกลับส่งผลให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นเลวร้ายมากขึ้น ความสามารถในการแข่งขันของสินค้าญี่ปุ่นในตลาดโลกลดลง สร้างปัญหาให้กับอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมรถยนต์
อาเบะ พยายามเค้นความเชื่อมั่นของอุตสาหกรรมญี่ปุ่นขึ้นมาใหม่ ด้วยการประกาศใช้นโยบายฟื้นฟู “นอกตำรา” ที่รู้จักกันในชื่อ “อาเบะโนมิกส์”
“อาเบะโนมิกส์” เป็นแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจของญี่ปุ่น 3 แนวทางไปพร้อมๆ กัน เรียกกันในเวลาต่อมาว่า “สามศร” คือ การใช้มาตรการทางการเงิน, การใช้มาตรการทางการคลัง และการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจเสียใหม่
อาเบะโนมิกส์ ไม่ถือว่าประสบความสำเร็จมากมายนัก แต่ก็ไม่ได้ล้มเหลวเช่นเดียวกัน
นโยบายนี้ประสบความสำเร็จสูงในด้านการใช้มาตรการทางการเงิน เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศให้กลับมาผลิตและมีความเชื่อมั่นขึ้นอีกครั้ง อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่นชื่อดังอย่าง ฮารุฮิโกะ คูโรดะ ที่ได้ชื่อว่าเป็น “ขุนพลคู่ใจ” ในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของ ชินโสะ อาเบะ
คูโรดะ ท้าทายตำราทางการเงิน ด้วยการประกาศใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบ ผลักดันให้เกิดการกู้ยืมเพื่อการผลิต ที่แม้ไม่ถึงกับกระตุ้นให้เกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้นมาต่อเนื่อง แต่ก็ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวต่อไปได้ ไม่หดตัวเรียวเล็กลงเรื่อยๆ เหมือนเช่นที่ผ่านมา
สหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศยูโรโซน ถึงกับหยิบยืมแนวทางของคูโรดะมาใช้อยู่ในเวลานี้
ปัญหาของอาเบะโนมิกส์ อยู่ที่อีก สองศร ที่เหลือ การกระตุ้นจากภาครัฐ จากรัฐบาลไม่ส่งผลสะเทือนมากมายนัก ในขณะที่ การปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
ล้มเหลวชนิดที่ ตัวนายกรัฐมนตรีอาเบะเอง ก็เลิกพาดพิงถึงในระยะหลังด้วยซ้ำไป
ที่นอกเหนือความคาดหมายของหลายคน ก็คือ ความสำเร็จในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของนายกรัฐมนตรีผู้นี้ ทั้งด้านการต่างประเทศเอง และในด้านการค้าระหว่างประเทศ
ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2016 อาเบะ เซอร์ไพรส์ผู้สันทัดกรณีทั้งหลายด้วย “เดิมพันครั้งใหญ่” หันไปสานสัมพันธ์กับโดนัลด์ ทรัมป์ ในขณะที่ทั้งโลกที่เหลือเชื่อว่าผู้ที่จะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนั้นคือ ฮิลลารี รอดแฮม คลินตัน
ผลก็คือ อาเบะ กลายเป็นผู้นำต่างชาติคนแรกของโลกที่ได้เข้าพบกับประธานาธิบดีทรัมป์ ถึงทำเนียบขาว แล้วกลายเป็น “เกรท เฟรนด์” ของทรัมป์เรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้
ว่ากันว่าของขวัญแรกพบหน้า ที่ อาเบะ นำติดตัวไปให้ทรัมป์คือไดรเวอร์กอล์ฟ ราคาแพงระยับ ที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาระหว่างประเทศที่ผู้นำทั้งสองต้องพบพานในเวลาต่อมา เพราะแม้ไม้กอล์ฟดังกล่าวจะ “เมด อิน เจแปน” แต่บริษัทผู้ผลิตเป็นบริษัทจีน
อาเบะ เป็นแขกของทำเนียบขาวสม่ำเสมอมากที่สุดผู้หนึ่ง สุภาพอ่อนโยนตามแบบฉบับของชาวญี่ปุ่น ที่ให้ความเคารพต่อผู้อื่นเสมอ แม้จะมีความเป็นตัวของตัวเองสูงก็ตาม
ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศที่สามารถสร้างสมดุลในความสัมพันธ์ต่อสหรัฐอเมริกาและจีนได้ดีที่สุดประเทศหนึ่งในยามนี้
อีกความสำเร็จที่ได้รับการยกย่องสูงมากในแวดวงการค้าระหว่างประเทศของอาเบะ คือการรักษา ความตกลงการเป็นหุ้นส่วนสองฟากแปซิฟิก 11 ชาติ (ทีพีพี 11) ให้ดำรงอยู่ต่อไปได้ หลังจากสหรัฐอเมริกา ประเทศที่ริเริ่มการรวมกลุ่มกันดังกล่าวหันหลังให้กับความตกลงนี้โดยสิ้นเชิง ในทันทีที่โดนัลด์ ทรัมป์ ก้าวขึ้นมามีอำนาจ
อาเบะ มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการสร้างเขตการค้าเสรีนี้ให้เป็นความจริงขึ้นมา ก้าวข้ามจากกำแพงภาษีศุลกากรของชาติ หลอมรวมเอาหลักการการเคารพต่อสิทธิทรัพย์สินทางปัญญา, สิทธิแรงงาน และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเข้าไว้ในความตกลงนี้ได้สำเร็จ
อาเบะไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น หากแต่ยังเดินหน้าเจรจาทำความตกลงเพื่อจัดทำเขตการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป (อียู) ซึ่งหากเป็นผลก็จะสามารถรังสรรค์ความตกลงการค้าเสรีที่ครอบคลุมพื้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ในขณะที่ประสบความสำเร็จสูงไม่น้อยในด้านการต่างประเทศ อาเบะกลับล้มเหลวอย่างสำคัญในนโยบายภายในประเทศ
อาเบะ ยอมรับว่าความผิดหวังใหญ่หลวงที่สุดในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นมาอย่างยาวนานก็คือ ความล้มเหลวในการแก้รัฐธรรมนูญของประเทศ
เป้าหมายที่ต้องการแก้ไข คือบทบัญญัติ ที่ห้ามญี่ปุ่นใช้กองกำลัง เป็นวิถีทางในการยุติความขัดแย้งระหว่างประเทศ และห้ามการจัดตั้งกองทัพใดๆ ไม่ว่าจะเป็น กองทัพบก กองทัพเรือ หรือกองทัพอากาศ
รัฐธรรมนูญญี่ปุ่นฉบับนี้ ยกร่างโดยนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญของสหรัฐอเมริกา ระหว่างเข้ายึดครองประเทศนี้ หลังสงคามโลกครั้งที่ 2
นั่นคือเหตุผลที่ทำไม ญี่ปุ่น ถึงมีได้เพียง กองกำลังป้องกันตนเอง (เอสดีเอฟ) และมีบทบาทจำกัดอยู่เฉพาะภายในประเทศเท่านั้น
ในขณะที่รัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นดังกล่าว สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนชาวญี่ปุ่น โดยเฉพาะผู้คนในยุคหลังสงครามโลก ที่กลายเป็นกลุ่มคนที่ไม่เพียงหวั่นกลัว ยังชิงชังรังเกียจสงครามอีกด้วย
แต่ข้อเท็จจริงเดียวกันนี้ สร้างความขุ่นเคืองให้กับบรรดานักการเมืองและพรรคการเมืองอนุรักษนิยมทั้งหลายมานักต่อนักและพยายามหาหนทางทำญี่ปุ่นให้กลับคืนสู่ความเป็น “ประเทศปกติธรรมดา” เหมือนประเทศอื่นๆ ทั่วโลกเรื่อยมา
แม้จะไม่ได้อย่างที่ต้องการ แต่ก็ใช่ว่า อาเบะ จะอับจนในเรื่องนี้ทั้งหมด เขาเลือกใช้วิธีการค่อยๆ ปรับเปลี่ยนแก้ไขแทนการเปลี่ยนแปลงชนิดจากหน้ามือเป็นหลังมือ
อาทิ การเพิ่มปริมาณกองกำลังสำรอง, การก่อตั้ง สภาความมั่นคงแห่งชาติ (เอ็นเอสซี) ขึ้นเมื่อปี 2013, การผ่านกฎหมายว่าด้วยราชการลับฉบับใหม่ ที่ปูทางให้กองกำลังเอสดีเอฟ สามารถปฏิบัติการภายนอกประเทศได้ ในกรณีที่เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการทางทหารร่วมกับนานาประเทศ เป็นต้น
มาร์ติน ชูลทซ์ นักวิชาการจากฟูจิตสึ กลุ่มบริษัทด้านเทคโนโลยีของญี่ปุ่น เชื่อว่าการตัดสินใจลาออกของ ชินโสะ อาเบะ จะทำให้เกิดช่องว่างขนาดใหญ่ขึ้นทั้งภายในและภายนอกประเทศ
ภายในประเทศ ขีดความสามารถในการสร้างความต่อเนื่องและเสถียรภาพให้กับรัฐบาลของอาเบะ ยังมองไม่เห็นใครทดแทนได้
บนเวทีระหว่างประเทศ ศิลปะในการปรับปรุงความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องและได้สมดุลในการดำเนินความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกาและจีน ยิ่งหาตัวแทนได้ยากยิ่งกว่า
ญี่ปุ่น อาจกลับคืนสู่สภาพปักหลักอยู่แต่ภายในประเทศ เปลี่ยนตัวผู้นำเป็นว่าเล่นอีกครั้งหนึ่ง
ในขณะที่บนเวทีโลกที่ความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ทวีขึ้นทุกวันก็ขาดหายผู้นำที่มีเหตุผลและเป็นกลางไปอีกรายหนึ่งแล้ว