อนุสรณ์ ถอดบทเรียน 8 ปี คสช. ประเทศถอยหลังเฉียดครึ่งศตวรรษ ชี้ผลผู้ว่าฯ ฟ้องคนไทยไม่เอาแล้ว รปห.

อนุสรณ์ ถอดบทเรียน 8 ปี คสช. ประเทศถอยหลังเฉียดครึ่งศตวรรษ ชี้ผลผู้ว่าฯ ฟ้องคนไทยไม่เอาแล้ว รปห.

เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม สืบเนื่องกรุงเทพมหานคร เปิดให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.)

โดยเวลา 17.15 น. ภายหลังปิดหีบลงคะแนน รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ กรรมการวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การครบรอบ 8 ปีของการรัฐประหารครั้งล่าสุด พร้อมการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. และสมาชิก กทม. ในรอบ 9 ปีในวันนี้ของไทย สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า “รัฐประหาร” ไม่ใช่ทางออกของการแก้ปัญหาวิกฤตการณ์ใดๆ และไม่ได้ทำให้สถานการณ์ต่างๆ พัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนในระยะยาว

การยึดมั่นในหลักการปกครองโดยกฎหมาย การดำเนินการตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยและใช้กลไกรัฐสภาแก้ปัญหาวิกฤตต่างหาก คือทางออกที่แท้จริงของประเทศ นำมาสู่ความมีเสถียรภาพของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

รศ.ดร.อนุสรณ์กล่าวต่อว่า การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และการเลือกตั้ง นายกเทศมนตรีเมืองพัทยาวันนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการกลับคืนสู่ประชาธิปไตยที่ชัดเจนกว่าการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี พ.ศ.2562 ซึ่งมีการบิดเบือนผลการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญปี พ.ศ.2560 ที่กำหนดอำนาจให้วุฒิสมาชิกจากการแต่งตั้งโดย คสช. มีสิทธิในการเลือกนายกรัฐมนตรี แม้นหลังการเลือกตั้งแล้วในปี พ.ศ.2562 ดูประหนึ่งว่า ได้เปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยแล้ว แต่เป็นเปลือกนอกส่วนเนื้อแท้ยังเป็นระบอบอำนาจนิยมอยู่ เพราะอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ผลการเลือกตั้งจึงถูกบิดเบือนไปจากเจตนารมณ์ของประชาชนผ่านระบบกลไก ระบบเลือกตั้ง และความสัมพันธ์ทางอำนาจที่ไม่สมดุลและบิดเบี้ยว ผลการเลือกตั้งผู้ว่า กทม. และสมาชิกสภา กทม. สะท้อนเสียงประชาชนไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร และปฏิเสธทรรศนะปรปักษ์ประชาธิปไตยเพิ่มขึ้น เป็นการให้บทเรียนต่อผู้ที่เคยมีบทบาทเคลื่อนไหวสร้างเงื่อนไขให้เกิดการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เมื่อปี พ.ศ.2557

Advertisement

รศ.ดร.อนุสรณ์กล่าวอีกว่า ผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ในวันนี้ ตอกย้ำว่าเครือข่ายของกลุ่มแนวคิดอนุรักษนิยม กลุ่มปรปักษ์ประชาธิปไตย “อ่อนแอลง” และไม่เป็นที่นิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ขณะที่แนวความคิดก้าวหน้า เสรีนิยม และการยึดถือหลักการประชาธิปไตยเข้มแข็งขึ้นอย่างชัดเจน

“การรัฐประหาร 22 พ.ค. เมื่อ 8 ปีที่แล้ว ทำให้พวกเราชาวไทยเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ‘รัฐประหาร’ ไม่ใช่เครื่องมือที่ดีในการแก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์ทางการเมือง การใช้กลไกรัฐสภาและการยึดถือครรลองของประชาธิปไตยต่างหาก คือเครื่องมือในการจัดการปัญหาวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่ดีกว่ามาก กระนั้นก็ตาม ยังไม่มีหลักประกันใดในอนาคตว่าจะไม่เกิดรัฐประหารขึ้นอีกในสังคมไทย อาจเกิดการสร้างเงื่อนไขสร้างสถานการณ์เพื่อให้เกิดการรัฐประหารขึ้นอีกในอนาคต เราจึงจำเป็นต้องเร่งสร้างความมีเสถียรภาพและความมั่นคงของระบอบการเมืองที่ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ ด้วยการพัฒนาสถาบันต่างๆ ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยให้เข้มแข็ง ทำให้เสียงของประชาชนดังขึ้น และผู้มีอำนาจต้องตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน ระบอบประชาธิปไตย จะนำสู่ความเจริญก้าวหน้าพัฒนาสู่ความรุ่งเรือง ลดความเหลื่อมล้ำ เปิดโอกาสให้ทุกคนอย่างเสมอภาค ลดผูกขาดเพิ่มการแข่งขันและแบ่งปัน ความสมบูรณ์พูนสุขและสันติธรรมย่อมบังเกิดขึ้นในสังคมไทย” รศ.ดร.อนุสรณ์ชี้

รศ.ดร.อนุสรณ์กล่าวว่า วิกฤตการณ์ค่าครองชีพและอัตราเงินเฟ้อสูง ผลกระทบจากสงครามยูเครนและวิกฤตเศรษฐกิจโควิด-19 แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ระบอบรวมศูนย์อำนาจแบบ คสช.ไม่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ตลอดระยะเวลา 8 ปี ประชาชนได้ตระหนักรู้ถึงความจริงของเครือข่ายฝ่ายปรปักษ์ประชาธิปไตย ที่ได้ร่วมกันสร้างสถานการณ์เพื่อให้เกิดการรัฐประหาร สิ่งต่างๆ ได้ถูกเปิดเผยและได้มีการพิสูจน์ถึงวาทกรรม “ปราบโกง” ก็ดี วาทกรรม “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” ก็ดี วาทกรรม “สร้างความปรองดอง ลดความขัดแย้ง” ก็ดี วาทกรรม “ขอเวลาอีกไม่นาน” ก็ดี วาทกรรม “ไม่สืบทอดอำนาจ” ก็ดี วาทกรรม “เอาคนดีคนเก่งมาบริหารประเทศ” ก็ดี ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เกิดขึ้นจริง การทุจริตคอร์รัปชั่นก็ไม่น้อยไปกว่ารัฐบาลจากการเลือกตั้ง ขณะที่รัฐบาลจากการเลือกตั้งถูกตรวจสอบได้มากกว่า ง่ายกว่า

Advertisement

“สิ่งที่เราเห็นในรอบ 8 ปีที่ผ่านมา คือ ความถดถอยลงของระบบการเมือง ระบบเศรษฐกิจ ระบบนิติรัฐ รวมทั้งจริยธรรมของผู้ปกครอง โดยในทางการเมืองนั้น ทำให้ประชาธิปไตยถอยหลังไปไม่ต่ำกว่า 43 ปี โดยรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2521 ฉบับประชาธิปไตยครึ่งใบ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหารมีสิทธิเลือกนายกรัฐมนตรีได้ในช่วงบทเฉพาะกาล เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญปี พ.ศ.2560

ในทางเศรษฐกิจจะเห็นว่า อัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศก่อนรัฐประหารและหลังรัฐประหาร ก่อนการรัฐประหารสองปี คือปี พ.ศ.2555 อัตราการเติบโตจีดีพีอยู่ที่ 6.5% และปี พ.ศ.2556 อยู่ที่ 2.9% หลังรัฐประหาร ในปี พ.ศ.2563 จีดีพีติดลบ -6.2% และในปีนี้เอง เศรษฐกิจก็น่าจะขยายตัวได้ไม่ถึง 3.5% แม้นในไตรมาส 3 ปีนี้ เศรษฐกิจจะกระเตื้องขึ้นจาการเปิดประเทศก็ตาม แต่ก็ยังถือว่าขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพ ผลกระทบจากการรัฐประหารปี พ.ศ.2557 ได้สร้างความเสียหายและการสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนไม่ต่ำกว่า 2 ล้านล้านบาท เมื่อผนวกเข้ากับการไม่สามารถเจรจาทำข้อตกลงการค้าได้ ระบอบอำนาจนิยมรวมศูนย์อำนาจ ทำให้ประเทศสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจไปมาก มีการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมากทั้งที่ประชาชนมีความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ หากไม่มีวิกฤตการณ์ทางการเมืองและตามมาด้วยการรัฐประหารสองครั้งในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งมีรัฐบาลประชาธิปไตยที่มีคุณภาพสูง ประเทศไทยของเรา ณ พ.ศ.นี้ ก็อาจสามารถก้าวข้ามพ้นประเทศรายได้ระดับปานกลางและเริ่มต้นเข้าสู่ประเทศรายได้สูง กลายเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ประชาชนก็จะมีระบบรัฐสวัสดิการอย่างถ้วนหน้าไปแล้วก็ได้” รศ.ดร.อนุสรณ์กล่าว และว่า

 

แม้ “ระบอบ คสช.” จะผลักดันให้มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมาก โดยเฉพาะระบบคมนาคมขนส่ง ผลักดันการปฏิรูปเศรษฐกิจในบางมิติ แต่ภาพรวม ไม่ได้ทำให้โครงสร้างระบบเศรษฐกิจที่มีการผูกขาดสูง เหลื่อมล้ำสูง ศักยภาพการแข่งขันและการยกระดับคุณภาพทรัพยากรมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด ภายใต้ผลกระทบการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผลกระทบสงครามยูเครน ยิ่งทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ผู้มีรายได้น้อยได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพสูงรุนแรงที่สุด ความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคมย่ำแย่ลงกว่าเดิม หนี้ครัวเรือนเทียบกับจีดีพี สูงที่สุดตั้งแต่มีการเก็บสถิติมา สูงกว่า 90%

“รัฐบาลประยุทธ์ 2 ที่สืบทอดอำนาจมาจาก รัฐบาล คสช. จึงก่อเกิดขึ้นจากเสียงของประชาชนบางส่วน บวกกับเสียงของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่ตัวเองแต่งตั้งขึ้น ระบอบ คสช.จึงมีลักษณะคล้ายกับ ‘ระบอบกึ่งเผด็จการกึ่งประชาธิปไตยของอินโดนีเซียในยุคซูฮาร์โต เวลานี้’ อินโดนีเซียได้รับการยอมรับจากนานาชาติในการพัฒนาประชาธิปไตยอย่างก้าวกระโดด หลังสิ้นสุดการปกครองโดยรัฐบาลทหารของนายพลซูฮาร์โต ผู้นำกองทัพ เป็นทหารอาชีพ พากองทัพกลับสู่กรมกองปฏิบัติงานตามภารกิจหลัก และไม่มีรัฐประหารมามากกว่า 30 ปีแล้ว การปฏิรูปการเมืองในยุคประธานาธิบดี นายพลซูซีโล บัมบัง ยูโดโยโน นายทหารประชาธิปไตยทำให้ระบอบประชาธิปไตยมั่นคงมากยิ่งขึ้น เป็นผลบวกอย่างมากต่อความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซียในปัจจุบันและอนาคต สังคมไทยจึงควรศึกษาบทเรียนความสำเร็จจากอินโดนีเซีย
ระบอบ คสช.กึ่งประชาธิปไตยในปัจจุบัน มีความโปร่งใส และประสิทธิภาพต่ำกว่า ระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบยุครัฐบาลเปรม และ รัฐบาลอานันท์หลังการรัฐประหารปี พ.ศ.2534 รัฐบาลสุรยุทธ์หลังรัฐประหารปี พ.ศ.2549” รศ.ดร.อนุสรณ์กล่าว

รศ.ดร.อนุสรณ์กล่าวอีกว่า มีการออกแบบรัฐธรรมนูญ ปิดประตูไม่ให้พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามชนะการเลือกตั้ง มีการใช้ศาลและองค์กรอิสระในการปฏิบัติการต่อคู่แข่งขันทางการเมืองอย่างไม่เป็นธรรมของระบอบ คสช. เหมือนกับเผด็จการทหาร เผด็จการพม่า ดำเนินการต่อ “อองซาน ซูจี” และ “พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย” การกระทำดังกล่าว จะนำมาสู่ความพังทลายต่อความน่าเชื่อถือของระบบศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระต่างๆ เมื่อสถาบันหลักถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง และฝ่ายที่เห็นต่าง ทำให้ประเทศเสี่ยงต่อสภาวะ ‘อนาธิปไตย’ และ ‘รัฐล้มเหลว’ ในอนาคตได้ แม้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งการประนีประนอม แต่คนไทยส่วนใหญ่ก็รักความเป็นธรรม การได้เห็นความอยุติธรรมเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ย่อมเป็นสิ่งเร้าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและการปฏิรูปใหญ่ในระบบยุติธรรมได้ในอนาคต

“ระบอบ คสช. ช่วงหลังรัฐประหารใหม่ๆ สามารถสร้างความสงบได้เพียงชั่วคราว สิ่งที่เข้ามาแทนที่ ความขัดแย้งระหว่าง “เสื้อเหลือง” กับ “เสื้อแดง” คือ ความขัดแย้งและวิกฤตทางการเมืองที่ใหญ่กว่าเดิม ซับซ้อนกว่าเดิมและหยั่งรากลึกยิ่งกว่าเดิม รวมทั้งได้ทำให้ความขัดแย้งต่างรุ่นรุนแรงมากยิ่งขึ้น ด้วยการยัดข้อหาและจับเยาวชนคนหนุ่มสาวติดคุก ทำลายอนาคตคนรุ่นใหม่ของสังคมไทย

หากไม่มีการรัฐประหารในวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2557 และรัฐบาลจากการเลือกตั้งที่มีปัญหาความชอบธรรมต้องหมดอำนาจลงจากผลการเลือกตั้ง ระบบและสถาบันประชาธิปไตยจะพัฒนาต่อไปได้ ระบอบประชาธิปไตยจะเข้มแข็งขึ้นเช่นเดียวกับในอินโดนีเซีย ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกปกครองด้วยระบอบเผด็จการทหารมาอย่างยาวนาน เรามีความเสี่ยงสูงมากที่มีชะตากรรมเช่นเดียวกับประเทศเมียนมา หรือพม่า หากผู้มีอำนาจตัดสินใจยึดอำนาจอีกครั้งในอนาคต” รศ.ดร.อนุสรณ์กล่าว

รศ.ดร.อนุสรณ์ชี้ว่า “การเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย” เป็นกระบวนการที่ใช้เวลา บางประเทศประสบความสำเร็จ บางประเทศไม่ราบรื่น บางประเทศล้มเหลว สถานการณ์ในปัจจุบันจะเป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อและจุดเปลี่ยนแปลงของอนาคตของประเทศไทย ขอเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนยึดมั่นในกลไกรัฐสภาและแนวทางสันติวิธี ยอมรับความเห็นอันแตกต่างหลากหลาย เปิดโอกาสให้เสรีภาพและเจตจำนงอันแท้จริงของประชาชนได้ผลักดันให้เกิดการปฏิรูป ความเป็นธรรม ประชาธิปไตยและคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า

ตนจึงมีข้อเสนอ ข้อเรียกร้องเนื่องในโอกาสครบรอบ 8 ปีของการรัฐประหาร 22 พ.ค. ดังนี้

1.ขอให้มีการจัดตั้งคณะทำงานโดยรัฐสภา เพื่อรวบรวมผลการศึกษาบทเรียนจากการรัฐประหาร 2 ครั้งล่าสุด และแนวทางในการปฏิรูป เพื่อให้ประเทศไทย สามารถสถาปนาระบบเศรษฐกิจและการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย อันเป็นรากฐานสำคัญของสังคม รวมทั้งแก้ไขปัญหาวิกฤตต่างๆ ด้วยกลไกรัฐสภา และเป็นไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย ยึดมั่นในหลักนิติรัฐ

2.ขอให้รัฐสภามีการตั้ง คณะทำงานเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ เดินหน้ากระจายอำนาจสร้างรากฐานประชาธิปไตยให้เข้มแข็งในระดับท้องถิ่น

“ผลการเลือกตั้ง กทม.ครั้งนี้ ควรเป็นฐานสำคัญของการรณรงค์ให้เกิดการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศในระยะต่อไป โดยควรเริ่มจัดให้มีการเลือกตั้งในจังหวัดใหญ่ๆ ที่มีความพร้อมก่อน เช่น จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดขอนแก่น จังหวัดภูเก็ต จังหวัดระยอง เป็นต้น”

3.ขอเรียกร้องให้สังคมไทยร่วมกันขับเคลื่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่มาจากประชาชน การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา เป็นการแก้ไขระบบเลือกตั้ง เป็นเรื่องผลประโยชน์ของพรรคการเมือง ย่อมมีการได้เปรียบ-เสียเปรียบกันในการแข่งขันทางการเมือง พรรคใหญ่ ได้ประโยชน์มากกว่าพรรคขนาดเล็กและพรรคขนาดกลาง ระบบเลือกตั้งประเทศไทยก็ใช้มาหลายระบบแล้ว สำคัญคือ ต้องมีมาตรฐานที่ดี สะท้อนเสียงประชาชนได้ดีที่สุด และทำให้พรรคการเมืองมีความมั่นคง เข้มแข็ง พัฒนาไปสู่ความเป็นสถาบัน การแก้ระบบเลือกตั้งอันบิดเบือน ไม่สะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชน

“บัตรเลือกตั้งใบเดียวก็ดี การนับคะแนนแบบจัดสรรปันส่วนแบบผสมก็ดี บัตรเขย่งก็ดี ทำให้ประชาธิปไตยและเสียงและการนับคะแนนบิดเบี้ยว เราก็เห็นกันอยู่ เรื่องการนับคะแนนบัญชีรายชื่อพรรคการเมือง มั่วมาก ไม่ยึดหลักอะไรทั้งหมด แม้หลักการทางคณิตศาสตร์ ทั้งการร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งการดำเนินการ เป้าหมายคือ สืบทอดอำนาจให้ได้เท่านั้น และสกัดกั้นไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามได้เป็นรัฐบาล ระบบและหลักการอะไรต่างๆ ของประเทศจะพัง ไม่สนใจ เป็นการฉุดสังคมถอยหลังหลาย 10 ปี รัฐธรรมนูญปี 2560 ก็มีที่มาจากการรัฐประหาร มีเนื้อหาหลายส่วนที่ขัดกับหลักการประชาธิปไตย และหลักนิติรัฐ นิติธรรม อย่างแจ้งชัด จำเป็นต้องแก้ไขทั้งฉบับโดย ส.ส.ร. ที่มาจากประชาชน ยุติการสืบทอดอำนาจของระบอบ คสช. และกลับคืนสู่ประชาธิปไตย ที่รัฐบาลมาจากเสียงของประชาชน”

4. ความเป็นเอกภาพและร่วมแรงร่วมใจของคนในชาติ เราจึงฝ่าวิกฤตการณ์ได้ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ วิกฤตทางการเมือง วิกฤตจากผลกระทบของโรคระบาดโควิด-19

5. ความกล้าหาญและเสียสละของประชาชน ความมีเอกภาพและสามัคคีของประชาชนจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นได้ การเสียสละของผู้นำและกลุ่มผู้นำสามารถคลี่คลายสถานการณ์ได้

6. ต้องลดเงื่อนไขหรือสภาวะเพื่อที่นำไปสู่ความขัดแย้งอันต้นทางของสงครามกลางเมือง และยึดในแนวทางสันติ ต้องไม่ให้เกิดความรุนแรงใดใด หรือมีผู้สูญเสียชีวิต เพราะหากเกิดสถานการณ์เช่นนั้นแล้วจะทำให้สถานการณ์มีความยุ่งยากลุกลามไปสู่ความรุนแรงเพิ่มขึ้นติดตามมา

7. รัฐประหารสองครั้ง (2549, 2557) การฉีกรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับ และยกเลิกการร่างรัฐธรรมนูญ 1 ฉบับ วิกฤตการณ์ความรุนแรงทางการเมืองที่ทำให้ประชาชนทุกฝ่ายเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ ถูกดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรมในรอบ 16 ปี จะต้องไม่เกิดขึ้นอีก หากมีการก่อรัฐประหารขึ้นอีก การรัฐประหารในอนาคตจะนำไปสู่เส้นทางหายนะของประเทศ และจะสร้างความแตกแยกมากยิ่งกว่า รัฐประหาร 2 ครั้งก่อนหน้านี้ ผู้นำทหาร ผู้นำ ต้องสนับสนุนประชาธิปไตย ต้องไม่สนับสนุนระบอบเผด็จการหรือระบอบสืบทอดอำนาจ หากผู้นำกองทัพ ผู้นำศาล ผู้นำภาคธุรกิจ ผู้นำแรงงาน ไม่สนับสนุนประชาธิปไตย ประชาธิปไตยไม่มีทางมั่นคงได้ และประเทศไทย คนไทย จะมีชะตากรรมไม่ต่างจากประเทศเมียนมา คนพม่า คนรัสเซีย คนซีเรีย คนซูดาน และคนเกาหลีเหนือในเวลานี้ ฉะนั้น ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันป้องปราม ไม่ให้สถานการณ์พัฒนาไปสู่ภาวะดังกล่าว

8. ผู้นำที่มาจากการเลือกตั้ง ต้องมีเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นในการวางรากฐานประชาธิปไตยให้มั่นคง ปฏิรูปรัฐธรรมนูญและทำให้กระบวนการสถาปนารัฐธรรมนูญฉบับใหม่เกิดจากการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง รัฐธรรมนูญจะต้องประกันสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ความเสมอภาค และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ประกันความปลอดภัยในชีวิต การเข้าถึงระบบสาธารณสุข ยารักษาโรคและวัคซีน ความยุติธรรม ประโยชน์ส่วนรวมและศีลธรรมจักบังเกิดขึ้นในสังคมไทย เมื่อประชาชนมีเสรีภาพอย่างแท้จริงโดยปราศจากความกลัวจากการคุกคามโดยอำนาจรัฐ และการกลั่นแกล้งจากการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรม

รศ.ดร.อนุสรณ์กล่าวทิ้งท้ายว่า ความสามัคคีและความมีเอกภาพภายใต้รัฐบาลที่ประชาชนเชื่อมั่น ศรัทธา จะก่อให้เกิดความร่วมมืออย่างแข็งขันและมีประสิทธิภาพ สิ่งนี้จะเป็นรากฐานในการทำให้สังคมไทย ฝ่าวิกฤตผลกระทบจากสงครามยูเครน เงินเฟ้อ ค่าครองชีพสูง วิกฤตโควิด-19 และวิกฤตแห่งความยากลำบากทางเศรษฐกิจในครั้งนี้ ไปได้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image