มหาดไทยจัดพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศลและพิธีวางพวงมาลาถวายราชสักการะ เนื่องในวันที่ระลึกพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมื่อเวลา 06.09 น. วันที่ 30 พฤษภาคม ที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย (มท.) พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย เป็นประธานพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศลและพิธีวางพวงมาลาถวายราชสักการะ เนื่องในวันที่ระลึกพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยได้รับเมตตาจากสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร นำพระสงฆ์ สามเณร 20 รูป รับบิณฑบาต
โดยมี นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาชุมชนและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทยด้านบริหาร นายชยาวุธ จันทร อธิบดีกรมที่ดิน นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อธิบดีกรมการปกครอง นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน และคณะผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย นางจิณณารัชช์ สัมพันธรัตน์ อุปนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ คณะกรรมการสมาคมแม่บ้านมหาดไทย และภาคีเครือข่าย ร่วมพิธี
จากนั้นปลัดกระทรวงมหาดไทยและนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทยนำคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทยและคณะกรรมการสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ร่วมวางพวงมาลาถวายราชสักการะ และจุดธูป เทียน เครื่องทองน้อย เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว กล่าวน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณและยืนสงบยิ่งด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้
นายสุทธิพงษ์กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 7 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เมื่อปีพุทธศักราช 2468 ตลอดระยะเวลา 9 ปี ที่เสด็จสถิตในสิริราชสมบัติ พระองค์ทรงประกอบพระราชกรณียกิจสำคัญนานัปการที่ก่อประโยชน์แก่มวลอาณาประชาราษฎร์ ด้วยหลักทศพิธราชธรรม เพื่อความผาสุกของพสกนิกรทุกหมู่เหล่า ได้แก่ “ด้านการปกครอง” พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์นักประชาธิปไตย ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะอภิรัฐมนตรีเป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน เพื่อเป็นที่ปรึกษาราชการและทดลองฝึกหัดวิธีการของรัฐสภา
นายสุทธิพงษ์กล่าวว่า ทรงพัฒนาการเมืองระดับท้องถิ่น โดยจัดการปกครองแบบเทศบาล หรือเรียกว่า “ประชาภิบาล” เพื่อเป็นการฝึกฝนให้ราษฎรเรียนรู้วิถีทางประชาธิปไตย และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน “รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475” เป็นรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรกของประเทศ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พุทธศักราช 2475 ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ “ด้านการศาสนา” ทรงปลูกฝังเยาวชนให้มีคุณธรรมดีงาม โดยยึดหลักคำสอนของศาสนาพุทธ โปรดให้ราชบัณฑิตยสภาแต่งหนังสือสอนพระพุทธศาสนาสำหรับเด็ก ซึ่งนับว่าพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่ทรงให้แต่งหนังสือสำหรับเด็ก
นายสุทธิพงษ์กล่าวด้วยว่า ส่วนการศึกษาในพระพุทธศาสนานั้น โปรดให้สร้างหนังสือพระไตรปิฎกภาษาบาลี เรียกว่า “ฉบับสยามรัฐ” เพื่อเชิดชูพระเกียรติยศของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว “ด้านศิลปวัฒนธรรม” พระองค์ทรงสถาปนาราชบัณฑิตยสภา เพื่อจัดการหอพระสมุดสำหรับพระนครและสอบสวนพิจารณาวิชาอักษรศาสตร์ เพื่อจัดการพิพิธภัณฑสถานตรวจรักษาโบราณสถานและโบราณวัตถุ และเพื่อจัดการบำรุงรักษาวิชาช่าง นอกจากนี้ ทรงส่งเสริมสร้างสรรค์วรรณกรรมรุ่นใหม่ ด้วยการประกวดเรียบเรียงบทประพันธ์ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง และใน “ด้านการศึกษา” ทรงส่งเสริมการศึกษาของชาติ โดยการประกาศพระราชบัญญัติประถมศึกษา พุทธศักราช 2464 ทรงโปรดให้สร้างหอพระสมุดสำหรับพระนครเพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าศึกษาได้อย่างเสรี ทรงโปรดให้ตราพระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม
นายสุทธิพงษ์กล่าวว่า พุทธศักราช 2475 พระราชทานเงินส่วนพระองค์เป็นรางวัลแก่ผู้แต่งหนังสือยอดเยี่ยม และให้ทุนนักเรียนไปศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์จากต่างประเทศ รวมทั้งทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่เสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาในระดับอุดมศึกษาเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2473 ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ “ด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศ” ทรงดำเนินกิจการสำคัญที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศ เช่น การให้สัตยาบันสนธิสัญญาต่างๆ นอกจากนี้ ยังทรงทำสัญญาใหม่ๆ กับประเทศเยอรมนีหลังสถาปนาความสัมพันธ์ขั้นปกติ เมื่อพุทธศักราช 2471 และทำสนธิสัญญากับฝรั่งเศสเกี่ยวกับดินแดนในลุ่มแม่น้ำโขง เรียกว่า สนธิสัญญาอินโดจีน พุทธศักราช 2469″ นายสุทธิพงษ์กล่าวเพิ่มเติม
นายสุทธิพงษ์กล่าวเพิ่มเติมว่า จากพระราชกรณียกิจดังกล่าวข้างต้น องค์การยูเนสโกจึงได้ประกาศยกย่องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวให้ทรงเป็นบุคคลสำคัญของโลก ประจำปีพุทธศักราช 2557-2558 ในวาระครบรอบ 120 ปี พระบรมราชสมภพ และในวาระครบ 100 ปี การเสด็จนิวัติพระนครเพื่อปฏิบัติพระราชกรณียกิจแก่ปวงชนชาวไทย ในฐานะที่ทรงมีผลงานดีเด่นด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม สังคมศาสตร์ และสื่อสารมวลชน
“ด้วยดวงจิตที่บริสุทธิ์ของข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ สมาคมแม่บ้านมหาดไทย และภาคีเครือข่ายของกระทรวงมหาดไทย ที่ล้วนสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และจักน้อมนำแนวทางการทำงานที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานไว้ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวในการปฏิบัติหน้าที่และดำรงตน เพื่อสร้างประโยชน์สุขแก่ประเทศชาติสืบไป” นายสุทธิพงษ์กล่าว