คะแนน PISA ล่าสุด ที่แถลงออกมา ไม่ว่าใน ด้านคณิตศาสตร์ ไม่ว่าใน ด้านการอ่าน ไม่ว่าใน ด้านวิทยาศาสตร์ คือสัญญาณตรงไปยัง ระบบการศึกษาของไทย อย่างชนิดตีกลางแสกหน้า
ความหมายก็คือ เท่ากับเป็นการเตือนไปยัง กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
คำถามก็คือ จะแก้ “วิกฤต” อันเนื่องแต่ “การศึกษา” อย่างไร
ที่มิอาจมองข้ามได้อย่างเด็ดขาดก็คือ คะแนนมาจากการประเมินทักษะของเด็ก และตัวชี้วัดการศึกษาของแต่ละประเทศที่มีการวัดผลทุกๆ 3 ปี
นั่นก็เห็นได้จาก ในด้านคณิตศาสตร์ คะแนนลดลงร้อยละ 6 อยู่ที่อันดับ 58 จาก 81 ประเทศและพื้นที่ที่เข้าร่วม
นั่นก็เห็นได้จาก ในด้านการอ่าน คะแนนลดลงร้อยละ 4 อยู่ที่ อันดับ 64 จาก 81 ประเทศและพื้นที่ที่เข้าร่วม
นั่นก็เห็นได้จาก ในด้านวิทยาศาสตร์ คะแนนลดลงร้อยละ 4 อยู่ที่อันดับ 58 จาก 81 ประเทศและพื้นที่ที่เข้าร่วม
ถือว่าอยู่ในจุดอันต่ำสุดในรอบ 20 ปี
เห็นได้อย่างเด่นชัดว่าอันดับอยู่ในครึ่งล่างของตาราง เด่นชัดว่าเป็นอันดับที่ต่ำกว่า 50 ลงมา
ความเป็นจริงไม่ว่าในเรื่องของ คะแนน และ อันดับ ที่ดำเนินมาในลักษณะถดถอยลงเป็นลำดับ สะท้อนการเปรียบเทียบในระดับโลก และแม้กระทั่งในระดับอาเซียน
สอดรับกับที่เคยมีการสำรวจก่อนหน้านี้ในเรื่องอันดับของเด็กไทยต่อผลการเรียนในด้านภาษาอังกฤษ
เป็นคำถามที่ทั้ง กระทรวงศึกษาธิการ และ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จักต้องร่วมกันขบคิดถึงสาเหตุ และค้นหาคำตอบอยู่ที่วิธีการแก้ไข
แน่นอน นี่มิได้เป็นความรับผิดชอบโดยตรงของรัฐบาลในปัจจุบัน หากแต่เป็นผลที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ตลอดห้วง 20 ปีของการศึกษาไทยอันทำให้เกิด “วิกฤต”
20 ปีนี้ย่อมครอบคลุมระยะเวลานับแต่เกิดสถานการณ์รัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 และต่อเนื่องมายังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
การศึกษาในห้วง 2 ทศวรรษนี้เหตุใดจึงก่อให้เกิด “วิกฤต”
วิกฤตทางการศึกษา สะท้อนโครงสร้าง สะท้อนระบบว่ามีปัญหาดำรงอยู่อย่างแน่นอน ปมเงื่อนอยู่ที่ว่าจะสามารถเสาะหาต้นตอและรากเหง้าอย่างแท้จริงได้อย่างไร
แน่นอน ย่อมมิใช่ท่าทีในแบบ “นกกระจอก” ที่เอาแต่ซุกปัญหา
ตรงกันข้าม จำเป็นต้องมองไปยังหลักสูตร จำเป็นต้องมองไปยังเนื้อหาของหลักสูตร สอดรับกับพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงในทางสังคมและเทคโนโลยีหรือไม่
ถึงเวลาแล้วที่จะมอง “การปฏิรูป” ตามความเป็นจริงให้สมกับฐานภาพแห่งความเป็น “รัฐบาลพิเศษ”