ที่มา | คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12 มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | สถานีคิดเลขที่ 12 |
เผยแพร่ |
คดีลอบสังหาร คิม จองนัม พี่ชายต่างมารดาของ คิม จองอึน ผู้นำสูดสุดแห่งเกาหลีเหนือที่เกิดเหตุตั้งแต่วันที่ 13 ก.พ.นั้น หลายๆ คนบอกว่า “อย่างกับในหนัง”
โดยเฉพาะการใช้ยาพิษปลิดชีพ เป็นยุทธวิธีที่เคยใช้มาตั้งแต่สมัยโบร่ำโบราณ เพียงแต่เปลี่ยนพิษให้ทันสมัยขึ้น
ตอนที่อดีตสายลับรัสเซีย อเล็กซานเดอร์ ลิตวิเนนโก ถูกลอบฆ่าด้วยยาพิษที่เป็นถึงสารกัมมันตรังสี โพโลเนียม-210 กลางกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษในปี 2549 เป็นคดีน่าตกตะลึง แต่ยังไม่น่าติดตามเท่ากับคดีพี่น้องตระกูลคิม
อาจเพราะดราม่าฝั่งตะวันตกไม่ค่อยมีเรื่องราวของศึกสายเลือด
คิม จองนัม อายุ 46 ปี ไม่เคยปรากฏความใกล้ชิดในฐานะพี่น้องกับท่านคิม จองอึน ไม่มีภาพถ่ายคู่หรือภาพถ่ายการพบปะหน้าใดๆ ออกสื่อ
ในขณะที่สองพี่น้องมีแม่คนละคน อายุต่างกัน มีวิถีชีวิตต่างกัน แต่มีจุดที่เหมือนกันคือการเป็นทายาทการเมือง พี่คนโตเป็นก่อน แต่น้องสุดท้องแซงโค้งมาเป็นทีหลัง
คิม จองนัม หลุดจากตำแหน่งนี้เพราะอยากไปเที่ยวโตเกียวดิสนีย์แลนด์แต่โดนจับในปี 2544 ทำให้เกาหลีเหนืออับอายขายหน้า จึงต้องเปลี่ยนตัวทายาท
จากนั้นมาพี่คนโตก็ระเห็จไปอยู่ประเทศอื่น แม้แต่ในช่วงที่พ่อป่วยหนักหรือในงานศพของพ่อเมื่อปี 2554 ก็ไม่แน่ชัดว่าได้กลับไปร่วมหรือไม่
ดราม่าต่อมาคือสถานที่ลอบสังหาร อยู่ในสนามบินนานาชาติของกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซียที่มีผู้คนพลุกพล่าน ชวนให้คิดว่าดีที่ไม่มาเกิดในสนามบินสุวรรณภูมิ เพราะอาจทำให้แตกตื่นยิ่งกว่าฉากแอ๊กชั่นที่ตำรวจตะครุบตัว นายไซซะนะ แก้วพิมพา ผู้ต้องสงสัยค้ายาเสพติด เมื่อวันที่ 19 ม.ค.2560
กรณี คิม จองนัม ไม่ได้มีฉากบู๊ถึงขนาดนั้น แต่เร้าใจตรงที่ผู้ลงมือเป็นผู้หญิงสาว 2 คน อายุ 28 และ 25 ปี เป็นชาวเวียดนามและชาวอินโดนีเซีย เดินเข้าหาเหยื่อทางด้านหลังแล้วเอื้อมแขนไปพ่นสเปรย์เข้าใส่หน้า
จากคำให้การสาวทั้งสองไม่รู้ตัวว่ากลายเป็นมือสังหาร เพราะคิดว่าสเปรย์เป็นเพียงน้ำเปล่าแบบที่ทำกับเป้าหมายชายคนอื่นๆ ที่นึกว่าบันทึกเทปรายการล้อกันเล่น
อีกดราม่าหนึ่งเป็นประเด็นเรื่องศพ ช่วงเจ้าหน้าที่มาเลเซียชันสูตรอยู่ มีรถสถานทูตเกาหลีเหนือรุดเข้าไปยังโรงพยาบาลและจากนั้นสองประเทศก็เริ่มออกอาการเคืองกัน เพราะมาเลเซียยืนยันว่าต้องได้ดีเอ็นเอญาติมาก่อนจึงจะส่งศพให้ กระทั่งลูกชายของนายจองนัมที่ปกติอาศัยอยู่ในมาเก๊ากับพ่อ ต้องเดินทางมาจัดการเอง
ต่อมาผลการสอบสวนเทไปยังผู้ก่อการเกาหลีเหนือเข้าไปอีก เมื่อเปิดภาพจากกล้องวงจรปิดของสนามบินแล้วพบว่ามีชายเกาหลีเหนือ 4 คนเดินทางเข้ามาแบบนักท่องเที่ยว และออกไปในวันเกิดเหตุลอบสังหาร
ถ้าเรื่องนี้เป็นดราม่าละครหรือหนัง ก็แทบจะทำให้ผู้ชมเอนเอียงไปแล้วว่าใครเป็นผู้สั่งการ
แต่คดีนี้จะไม่มีทางเฉลยคำตอบที่ชัดเจนได้เลย โดยเฉพาะเมื่อไปโยงใยถึงเกาหลีเหนือซึ่งเป็นประเทศเผด็จการที่ปิดตัวออกจากโลกภายนอก
อาจเป็นตอนจบแบบในหนังที่ให้ไปจินตนาการเอาเอง