ในปัจจุบันผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดการปลอยก๊าซเรือนกระจก เพื่อลดปัญหาโลกร้อน โดยหนึ่งในสาเหตุหลักของการเกิดภาวะเรือนกระจกมีผลมาจากปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากจนเกินไป และ ‘เหล็กกล้า’ เป็นวัสดุสำคัญที่ถูกใช้ในการผลิตสินค้าหลากหลายประเภท แต่อย่างไรก็ตาม การผลิตเหล็กกล้ามีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์คิดเป็นสัดส่วน 8% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลก
ฉะนั้น เพื่อก้าวสู่ยุคของความเป็นกลางทางคาร์บอนและนำมาสู่ความพยายามในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นั้น จึงเริ่มมีกระบวนการผลิตเหล็กกล้าแบบรักษ์สิ่งแวดล้อม “Green Steel” หรือ เหล็กคาร์บอนต่ำ
ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งในทางออกของปัญหานี้
ปัจจุบันบริษัทเหล็กรายใหญ่ในทวีปเอเชียกำลังเริ่มเปิดตัว ‘เหล็กที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม’ (Green Steel) มากขึ้น และประเทศไทยก็เริ่มให้ความสนใจมากขึ้น ดังนั้น จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับประเทศไทย ที่บริษัทต่างชาติเริ่มสนใจเข้ามาเผยแพร่และลงทุนการทำอุตสาหกรรมรูปแบบใส่ใจสิ่งแวดล้อม อย่างเช่น ‘บริษัท เมอแรนติ กรีน สตีล (ประเทศไทย) จำกัด’ ที่ตั้งเป้าหมายว่า จะยกระดับอุตสาหกรรมเหล็กในไทย ให้กลายเป็นการผลิตเหล็กคาร์บอนต่ำที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
รู้จัก เมอแรนติ กรีน สตีล
นายเซบาสเตียน แลนเกนดอฟ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้งบริษัท บริษัท เมอแรนติ กรีน สตีล (ประเทศไทย) จำกัด ให้สัมภาษณ์กับ ‘มติชน’ ว่า เมอแรนติ กรีน สตีล ก่อตั้งขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการเร่งด่วนในการผลิตเหล็กที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยอุตสาหกรรมเหล็กเป็นหนึ่งในผู้ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ CO2 รายใหญ่ที่สุดของโลก คิดเป็นประมาณ 7 – 8%
โดยวัตถุประสงค์ของ เมอแรนติ กรีน สตีล คือการส่งเสริมลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ CO2 และทำให้การผลิตเหล็กเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น นอกจากนี้ ยังพิจารณาถึงการลดการปล่อยไนโตรเจนออกไซด์ หรือ NOx ซึ่งมักเป็นการปล่อยที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมในทันที ดังนั้น เมอแรนติ กรีน สตีล จึงเป็นหนึ่งในผู้ส่งเสริมให้โรงงานมีการปล่อยไนโตรเจนออกไซด์ หรือ NOx ให้น้อยที่สุดในผู้ผลิตเหล็กทั้งหมดทั่วโลก
(ภาพตัวอย่างของโรงงานผลิตเหล็กคาร์บอนต่ำแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเมอแรนติ กรีน สตีล ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง ประเทศไทย)
นายเซบาสเตียน ระบุว่า แต่เดิม เมอแรนติ กรีน สตีล เป็นบริษัทที่มีฐานอยู่ในสิงคโปร์ แต่มีแผนกำลังขยายฐานการผลิตเหล็กคาร์บอนต่ำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตั้งเป้าอยากพัฒนาโรงงานเหล็กคาร์บอนต่ำของประเทศไทยให้เป็นโรงงานเหล็กคาร์บอนต่ำแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ เรายังดำเนินการในตะวันออกกลางและออสเตรเลียตะวันตก ดังนั้นเราจึงมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในโครงการห่วงโซ่อุปทานในการผลิตเหล็กคาร์บอนต่ำในตะวันออกกลางเช่นเดียวกับในออสเตรเลียตะวันตก แม้ว่าสิงคโปร์จะเป็นฐานและสำนักงานใหญ่ของเรา แต่เรากำลังมองไปที่ตลาดเอเชียแปซิฟิก
ปัจจัย ตัดสินใจเลือกประเทศไทย
โดย 3 ปัจจัยหลักที่ทาง บริษัท เมอแรนติ กรีน สตีล (ประเทศไทย) จำกัด ตัดสินใจเลือกประเทศไทย เป็นฐานสำหรับการศึกษาพัฒนาโครงการพลังงานสะอาดป้อนโรงงานผลิตเหล็ก มุ่งสู่การเป็นโรงเหล็กคาร์บอนต่ำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น
นายเซบาสเตียน ระบุว่า ปัจจัยแรก ปัจจุบันประเทศไทยได้พิจารณาโครงสร้างพื้นฐานที่ดีที่สุดสำหรับการผลิตเหล็กคาร์บอนต่ำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว เราเชื่อว่าประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานในแง่ของท่าเรือ การขนส่ง และทรัพยากร รวมถึงประเทศไทยมีอุตสาหกรรมเหล็กอยู่แล้ว ฉะนั้นเป็นฐานที่ดีในการเริ่มการผลิตเหล็กกล้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ปัจจัยที่สอง ประเทศไทย เป็นประเทศที่มีความน่าสนใจมากเนื่องจากมีอุตสาหกรรมเหล็กปลายน้ำที่แข็งแกร่งมาก อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ในบ้าน และการก่อสร้างอาคาร โดยปัจจุบันประเทศไทยบริโภคเหล็ก 17 ล้านตันต่อปี โดยมีอุตสาหกรรมเหล็กกล้าปลายน้ำที่แข็งแกร่งมากซึ่งกำลังมองหาการซื้อในประเทศ
ปัจจัยที่สาม คือ ประเทศไทยเคยเป็นประเทศผู้ผลิตเหล็กอันดับ 1 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อ 25 ปีที่แล้ว เป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังนั้นเราจึงมองเห็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ในการส่งเสริมการผลิตทดแทนการนำเข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล็กเกรดสูง เช่น ยานยนต์ เครื่องใช้ในบ้าน ซึ่งเหล็กเกรดสูงเหล่านี้ส่วนใหญ่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นและประเทศเกาหลี ดังนั้น เราจึงต้องการทำให้ประเทศไทยมีการผลิตเหล็กเกรดสูงภายในประเทศต่อเนื่อง และจะต้องทำให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
และด้วย 3 ปัจจัยนี้ นายเซบาสเตียน เผยว่า ทาง เมอแรนติ กรีน สตีล จึงอยากเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมเหล็กของไทยไปสู่อีกระดับ และเชื่อว่าการฟื้นฟูมีความสำคัญและจำเป็น เพราะหากไม่ฟื้นฟูอุตสาหกรรมเหล็กของไทย ก็มีความเสี่ยงแม้กระทั่งสำหรับอุตสาหกรรมปลายน้ำที่จะย้ายฐานไปลงทุนที่ประเทศอื่น ดังนั้น เราเชื่อว่าประเทศไทยจำเป็นต้องมีอุตสาหกรรมเหล็กที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยิ่ง
เป้าหมายสำคัญขยายการผลิตไปทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แนวคิดการประกอบธุรกิจของ เมอแรนติ กรีน สตีล ไม่ใช่เพียงแค่ช่วยให้ผู้ประกอบธุรกิจที่ใช้เหล็กเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตสินค้ายังคงมีขีดความสามารถในการแข่งขันในโลกการค้าที่เปลี่ยนไป ทั้งยังเป็นการส่งเสริมการบรรลุเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในปี 2608 ที่ไทยให้สัญญาไว้เมื่อปี 2564 ในที่ประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 26 (COP 26) รวมถึงเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ ตลอดจนข้อตกลงปารีสที่จะควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 1.5 องศาเซลเซียส
ไม่ใช่แค่ในประเทศไทยเท่านั้น เมอแรนติ กรีน สตีล ยังมีเป้าหมายที่จะขยายการผลิตไปทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยโรงงานของ เมอแรนติ กรีน สตีล ตั้งอยู่ที่เขตอุตสาหกรรมเชิงนิเวศของบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ในใจกลางของจังหวัดระยอง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยทางรัฐบาลไทยมีเป้าหมายที่จะส่งเสริมให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางบกและทางทะเลที่จะเชื่อมการค้าของภูมิภาคเข้าด้วยกัน ตั้งแต่แผนพัฒนาประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าทางราง การพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง และมาบตาพุด รวมถึงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา ทันทีเมื่อโครงการสมบูรณ์ก็จะทำให้สามารถเข้าถึงตลาดทั่วโลกได้
(เมอแรนติ กรีน สตีล จัดงานเลี้ยงขอบคุณร่วมกับพันธมิตรหลัก ตอกย้ำความร่วมมืออันแข็งแกร่ง–มั่นคง–ยั่งยืน)
นายเซบาสเตียน เผยว่า เมอแรนติ กรีน สตีล มีพันธมิตรที่กว้างขว้างทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยในไทยมีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และวิทยาลัยเทคโนโลยีไออาร์พีซีที่ระยอง สำหรับหุ้นส่วนต่างชาตินั้น เมอแรนติ กรีน สตีล มีข้อตกลงความเป็นหุ้นส่วนกับบริษัทในออสเตรเลีย รวมถึงบริษัท 5 แห่งในยุโรป โดยนายเซบาสเตียน เปิดเผยว่า บริษัทเหล่านี้จะนำเข้าเหล็กที่ทางบริษัทผลิตในโรงงานที่ไทยตั้งแต่ช่วงปี 2028 – 2029 เป็นต้นไป นอกจากนี้ เมอแรนติ กรีน สตีล ยังส่งออกเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนเพื่อประกอบอุตสาหกรรมปลายน้ำให้กับบริษัทในเวียดนาม ซึ่งเมื่อผ่านกระบวนการผลิตแล้ว สินค้าก็จะถูกส่งออกไปยังยุโรปอีกด้วย
ทั้งนี้ นายเซบาสเตียน ระบุว่า เมอแรนติ กรีน สตีล ตั้งใจที่จะช่วยให้ประเทศไทยเป็น ‘global destination’ ของการลงทุนอย่างยั่งยืน ท่ามกลางระบบนิเวศสีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยตนอยากให้ระลึกเสมอว่า ราคาที่ต้องจ่ายให้กับปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลอยสู่ชั้นบรรยากาศ สภาเศรษฐกิจโลกประมาณการความเสียหายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศว่ามีมูลค่าอยู่ที่ 1.7 ถึง 3.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายมหาศาลสำหรับคนรุ่นต่อไป ซึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เองก็ประสบกับปัญหาน้ำท่วมและพายุไต้ฝุ่น อีกทั้ง ปีที่แล้วยังเป็นปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกในปัจจุบันอยู่ที่ 425 ส่วนต่อล้าน เพิ่มขึ้นถึง 20% ภายในเวลาเพียงแค่ 30 ปีเท่านั้น ดังนั้น จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องคำนึงถึงผลกระทบในระยะยาวของเรื่องนี้ให้มากขึ้น
“เรามุ่งหวังที่จะดำเนินการและสร้างโรงงานเหล็กคาร์บอนต่ำแห่งแรกร่วมกันและร่วมมือกับประเทศไทย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และภาษีคาร์บอนในประเทศไทยกำลังจะเข้ามาในระบบการค้า ซึ่งจะมีโอกาสทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ไม่ใช่แค่ต้นทุนเท่านั้น แต่ยังมีโอกาสอีกมากมายเช่นกันสำหรับประเทศไทย” นายเซบาสเตียน กล่าว