จิตวิวัฒน์ : ตำนานมีชีวิต (4) อะไรเป็นพิธีกรรมของเรา : โดย ณัฐฬส วังวิญญู

ก่อนจะเล่าถึงความเห็นของโจเซฟ แคมพ์เบลล์ (Joseph Campbell) ผมต้องอธิบายว่าเขาศึกษามาหลายศาสตร์และเลือกไม่เรียนต่อปริญญาเอก แต่ไปเรียนจิตวิทยาแทน จุดเริ่มต้นที่เขาสนใจเรื่องวัฒนธรรมและตำนานต่างๆ มาจากพ่อของเขาพาไปดูการแสดงคาวบอยเมื่อตอนเด็กแล้วเห็นอินเดียนแดง เขาสนใจมากว่าคือใครกัน เลยศึกษาเรื่องอินเดียนแดง ศึกษาหน้ากาก วัฒนธรรม

มีช่วงหนึ่งที่เขาตกงาน สมัครทำงานกับมหาวิทยาลัยหลายๆ แห่งแต่ไม่มีใครรับ เนื่องจากเป็นช่วงเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ของสหรัฐอเมริกา เขาไปรับจ้างเป่าแซกโซโฟนตามร้าน เล่นดนตรีแจ๊ซ การเรียนจิตวิทยา ทำให้เขามีมุมมองเรื่องการพัฒนา การเติบโตทางจิตวิญญาณของมนุษย์ในมุมมองของจิตวิทยา เขาเดินทางไปอินเดีย ไทย ญี่ปุ่น เพื่อศึกษาตำนานของทางเอเชียและพิมพ์เป็นหนังสือที่น่าสนใจมากชื่อ Oriental Mythology (The Masks of God)

แคมพ์เบลล์บอกว่า บางทีเราต้องไปศึกษาตำนานของคนอื่นเพื่อให้เข้าใจจิตวิญญาณของตัวเองมากขึ้น เข้าใจความหมายของสิ่งที่ตัวเองเชื่อและเป็นอยู่ มุมมองที่เขาได้จากเอเชียช่วยให้เขาเข้าใจคริสต์ศาสนามากขึ้น และมีหลายอย่างที่เขาสนใจ เช่น เรื่องราวของซามูไร

เจ้านายของซามูไรถูกฆ่า ซามูไรคนนี้จะไปจัดการกับคนที่ฆ่าเพราะถือว่าถูกลบหลู่เกียรติ ขณะที่ซามูไรกำลังจะชักดาบปลิดชีวิตฆาตกร ฆาตกรคนนี้ถุยน้ำลายรดหน้า ซามูไรโกรธแล้วก็เก็บดาบกลับบ้าน คือถ้าฆ่าโดยที่มีอารมณ์โกรธ จะไม่มีเกียรติเลย เกียรติยศ (Honor) ของซามูไรคือลงมือกระทำโดยไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ถ้าจะฆ่าต้องไม่โกรธ ต้องไม่เกลียด

Advertisement

มันมีความหมายบางอย่างที่น่าสนใจ และเป็นไอเดียในการฝึกของเราได้ผมคิดว่ามันเป็นตัวอย่างของการทำบางสิ่งบางอย่างที่ไปให้พ้นจากการสนองกิเลสของตัวเอง แต่มาจากจิตที่บริสุทธิ์

อะไรเป็นพิธีกรรมของเรา
ผมเป็นคนหนึ่งที่ตั้งคำถามกับตัวเองว่าถ้าเราไม่นับถือศาสนา อะไรจะเป็นพิธีกรรมของเรา เช่น ถ้าไปวัด ผมจะรู้สึกอึดอัดที่ต้องทำตามพิธีกรรม ใจไม่ค่อยยอมรับ ในแง่หนึ่ง ผมพยายามค้นหาว่าอะไรที่จะเป็นพิธีกรรมของเรา อะไรให้พลังกับเรา เราสร้างพิธีกรรมขึ้นมาได้ไหม ให้มันมีพลัง รับใช้หล่อเลี้ยงชีวิตเราได้จริงๆ

ผมเป็นนักดนตรี ผมมองว่าพิธีกรรมของนักดนตรีคือคอนเสิร์ต เพียงแต่ว่าถ้าคนอื่นจัดให้จะไม่โดนใจเราต้องจัดเอง งานที่ผมทำทุกวันนี้ มีหลายส่วนเป็นพิธีกรรม แล้วสร้างพลังชีวิตมาก การที่คนในบริษัทใหญ่ๆ ได้มานั่งล้อมวงคุยกันเหมือนเป็นสภาชนเผ่ายุคโบราณ มันเชื่อมโยงเรากับกาลเวลา เชื่อมจิตวิญญาณมนุษย์เข้าด้วยกัน หรือการทำงานกับครู มีครูที่ต้องการการเยียวยา ต้องการการเติมเต็มทางจิตวิญญาณเป็นจำนวนมาก ว่าฉันมาเป็นครูเพื่ออะไร รวมทั้งมีพื้นที่ที่จะบอกว่าฉันไม่อยากเป็นครูแล้ว เป็นพิธีกรรมซึ่งทำให้ครูมีชีวิตชีวา

Advertisement

ผมสนใจเรื่องสัญลักษณ์ ผมชอบออกแบบ ชอบดูการจัดวางพื้นที่ที่จะโดนใจเรา เมื่อก่อนผมอยากเป็นสถาปนิก แต่วาดรูปไม่เก่งเลยไม่ได้เป็น แต่ความอยากเป็นก็ยังมีอยู่ในใจ ผมรู้สึกว่าตัวเองมีความเชื่อมโยง มีพื้นที่ว่าง และการจัดวางส่วนต่างๆ ผมจึงสนใจงานของแคมพ์เบลล์ เพราะให้ข้อมูลบางอย่างกับผมได้มาก และทำให้ผมเห็นว่าการเปลี่ยนผ่านของชีวิตในช่วงต่างๆ มีความหมายมากกว่าที่เราเข้าใจ

ปรากฏการณ์แก๊งวัยรุ่นคือวัฒนธรรมเผ่า ลึกๆ จิตใจมนุษย์ต้องการเผ่าของตัวเอง พฤติกรรมแก๊งคือการพยายามเปลี่ยนผ่านตัวเองจากวัยรุ่นไปเป็นผู้ใหญ่ คือต้องผ่านการทดสอบ เขาสร้างเผ่าของตัวเอง สร้างระบบสัญลักษณ์ของตัวเอง ถ้าเราไปมองในเชิงตัดสิน เราจะบอกว่าเด็กพวกนี้ทำเลวจริงๆ ทำให้กระบวนการศึกษาของเราไม่ละเอียดอ่อนต่อจิตใจของเด็ก ไม่สร้างเผ่าที่มีความอบอุ่นแล้วก็ตัดสินคนเพียงแค่ตัวหนังสือ แต่เผ่าต้องการแอ๊กชั่น

มีเผ่าหนึ่งที่หมู่เกาะเมลานีเซีย (Melanesia) ในมหาสมุทรแปซิฟิกจะให้ลูกหมูกับเด็กชายเลี้ยงควบคู่กันมา เด็กจะโตมากับหมูจนถึงจุดหนึ่งจากวัยรุ่นไปเป็นผู้ใหญ่ การจะเป็นผู้ใหญ่ได้ต้องฆ่าหมูตัวนี้ด้วยน้ำมือของตัวเองด้วยความรัก แล้วเอาหมูมาป้อนให้กับพี่น้องและตัวเอง ฟังดูโหดร้ายแต่มันหมายถึงอิสระ มีพิธีกรรมที่ไม่ใช่แค่ว่าเรียนแล้วสอบผ่าน แต่เราจะต้องถูกทดสอบจิตใจ

ตำนานของชนเผ่าเท้าดำ
ชนเผ่าเท้าดำ (Black Foot) ทางตอนเหนือของอเมริกา ทุกๆ ปีจะทำพิธีกรรมที่เรียกว่าระบำควาย (Buffalo Dance) ตำนานคือในสมัยก่อนมนุษย์กับสัตว์อยู่ด้วยกัน ไม่ได้ต่างกันมากเพราะมนุษย์กับสัตว์ก็เป็นสิ่งที่ตายเหมือนกัน ฆ่ากันได้ สื่อสารกันได้ ควายฝูงนี้อยู่คู่กับเผ่าเท้าดำ นายพรานมักจะต้อนควายให้ไปที่เดียวกัน และจะมีควายบางตัวที่ตกจากหน้าผาลงมาเป็นอาหารให้มนุษย์แต่มีอยู่ปีหนึ่งต้อนอย่างไรควายก็ไม่ตกหน้าผาสักที นายพรานเลยขอให้ควายช่วยแต่พวกควายบอกว่าพอแล้ว ท่านเอาเราไปทำเป็นอุปกรณ์ของใช้ เอาหนังไปทำผ้าห่มเสื้อผ้า เราไม่อยากให้แล้ว

มีนายพรานที่ยิงธนูเก่งและมักจะหาหนังสัตว์สวยๆ มาให้ลูกสาวเป็นประจำทุกปี ลูกสาวนายพรานอาสาไปเจรจาว่า “ถ้าไม่มีควายตัวไหนมาเป็นอาหารให้กับมนุษย์เราก็จะอยู่กันไม่ได้ ขอให้ควายช่วยให้ชีวิต แล้วฉันยินดีจะแต่งงานกับควายตัวหนึ่งในกลุ่มของท่าน” ควายยอมรับข้อเสนอ เดินไปที่ขอบผาแล้วตกลงมา หลังจากนั้นควายก็ทวงสัญญากับลูกสาวนายพรานให้ไปอยู่กับพวกตน ลูกสาวนายพรานก็ไปโดยพ่อไม่รู้

ตอนเช้า พ่อหาลูกสาวไม่พบ จึงออกตามหา นายพรานถามนกแม็กพายที่เป็นนกแสนรู้ว่ารู้ไหมว่าลูกสาวของเขาอยู่ไหน นกตอบว่าเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอยู่กับฝูงควาย พ่อก็วิ่งตามไปและฝากนกไปบอกลูกสาวว่าพ่อกำลังตามหา พอลูกสาวรู้เข้าก็ตกใจ เพราะถ้าพ่อมาตาม คงโดนพวกควายฆ่า ก็รีบวิ่งไปหาพ่อแต่ไม่ทัน พอควายได้ยินเสียงก็ลุกฮือเข้ามาเริ่มเต้นรำระบำเท้า แล้ววิ่งเข้าไปชนพ่อจนแหลกละเอียด ลูกสาวเสียใจมาก ร้องไห้และถามควายว่าทำไมถึงทำอย่างนี้ ควายบอกว่าเมื่อเจ้าสูญเสียพ่อ เจ้าเสียใจใช่ไหม แต่พ่อของพวกเราจำนวนมากตายเป็นอาหารให้พวกเจ้า ลูกและแม่ก็ตายเป็นอาหารให้พวกเจ้า เจ้ารู้สึกอย่างไร ลูกสาวตอบว่า “แต่เขาเป็นพ่อฉัน ฉันก็เสียใจ” เจ้าแห่งควายบอกว่าถ้าอยากให้พ่อฟื้น ให้หาชิ้นส่วนของพ่อมาชิ้นหนึ่ง ถ้าเจ้าหาชิ้นส่วนและฟื้นคืนชีพพ่อได้ เราจะปล่อยให้รอดทั้งคู่และกลับไปอยู่ด้วยกัน

ลูกสาวจึงให้นกช่วยหาเเละได้ส่วนกระดูกสันหลังของพ่อมา ลูกสาวเริ่มร้องเพลง แล้วพ่อก็ค่อยๆ ฟื้นกลับมา ควายตกใจว่าทำได้อย่างไร แล้วควายจึงบอกว่า “ถ้าพวกท่านกินควาย ขอให้ท่านร้องเพลงให้เราได้ไหม เราจะได้ฟื้นคืนชีพกลับมา” แล้วควายก็สอนท่าเต้นให้กับคน จนกลายเป็นธรรมเนียมทุกๆ ปีหลังจากนั้น ว่าการจะล่าควายต้องมีการเต้นรำ ต้องมีการขอบคุณเพื่อที่ควายจะฟื้นคืนชีพกลับมาได้

เรื่องนี้เป็นตำนานที่น่ารัก เขาไม่ได้คิดว่าใครเหนือใคร เราต้องพึ่งพากัน แต่ว่าในอเมริกา ชนเผ่านี้ไม่ได้ล่าควายอีกแล้ว แต่ยังมีการเต้นระบำควาย ตำนานบอกเราว่าการตายคือการให้ เรามีชีวิตอยู่บนความตายของสิ่งอื่น ถึงแม้ไม่ได้กินเนื้อสัตว์ ก็ต้องกินพืช ต้องทำให้ชีวิตตายลง เรามีชีวิตอยู่ได้เพราะว่ามีบางอย่างตายเพื่อให้ชีวิตเรา โดยสรุปแล้วการอยู่รอดจำต้องอาศัยการอยู่ร่วมและการให้ความหมายกับชีวิตที่ขึ้นต่อกันและกัน

ณัฐฬส วังวิญญู
www.thaissf.org, twitter.com/jitwiwat
สนับสนุนโดย มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image