กรณีของ 36 สนช.เสนอขอแก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการเลือกตั้งโดยโฟกัสไปยังตำแหน่ง “ผู้ตรวจการเลือกตั้ง” อาจสรุปอย่างรวบรัดตามสำนวนไทยว่า
พอ “อ้าปาก” ก็เห็น “ลิ้นไก่”
ไม่ว่าเด็ก ไม่ว่าผู้ใหญ่ ไม่ว่ากรรมการ กกต. ไม่ว่าพรรคการเมืองระดับเล็ก ระดับใหญ่ มองเห็นกันทั่วถ้วน
เพราะว่า ยิ้มก็เห็นแก้ม แย้มก็เห็นไรฟัน
เท่ากับ 36 สนช.กำลังเปลือยกายล่อนจ้อนอยู่ท่ามกลางแสงแห่ง
สปอตไลต์อันฉายจับมาทั้งในและนอกประเทศ
เป้าหมายแจ่มชัด คือ ยื้อ ถ่วง หน่วง “เลือกตั้ง”
หากจะมองเป็น “ยุทธวิธี” ก็ถือได้ว่าตื้นเขินอย่างยิ่ง จึงยากที่จะบรรลุยุทธศาสตร์ “เขาอยากอยู่ยาว” ได้อย่างองอาจ สง่างาม
ตรงกันข้าม กลับเป็นการประจาน
การประจานอันน่าเจ็บปวดอย่างที่สุด คือ การประจานให้เห็นว่าเวลาจากเดือนพฤษภาคม 2557 มายังเดือนสิงหาคม 2561
อาจเข้ารอย “เสียของ”
ที่คุยว่าสามารถสร้างผลงานและความสำเร็จยิ่งใหญ่ยรรยงเหนือกว่าทุกรัฐบาลในกาลอดีตก็ว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย
เพราะหากว่ามี จะ “ยื้อ” ไปทำไม
ที่เคยมั่นใจว่า การวางกฎ กติกา ผ่านรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 หวังเผด็จศึกจัดการกับพรรคเพื่อไทยได้อย่างเบ็ดเสร็จ
ก็เริ่มไม่มั่นใจ
เพราะหากว่ามั่นใจจะเตะถ่วง ยื้อ หน่วง วันเวลาของโรดแมป “การเลือกตั้ง” ให้ทอดยาวเนิ่นนานไปทำไมเล่า
อาจ “ยื้อ” ได้ แต่จะคุ้มกับที่เสียหรือไม่
หากเปรียบเทียบกับประสิทธิภาพในการยื้อระลอกแรกจากการคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับของ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เมื่อเดือนกันยายน 2558
ก็จะสัมผัสได้ในภาวะถดถอย
ตอนนั้นยังสามารถยื้อได้เป็นปี คือยื้อ “ปฏิญญาโตเกียว” จากปี 2558 เป็นปี 2559 และยื้อ “ปฏิญญานิวยอร์ก” จากปี 2559 เป็นปี 2560
รวมถึงยื้อ “ปฏิญญาทำเนียบขาว” จากปี 2560 เป็นปี 2561
แต่เมื่อมาถึงกลยุทธ์ล่าสุดโดย 36 สนช.อาจสามารถยื้อจากเดือนกุมภาพันธ์เป็นภายในเดือนพฤศจิกายน 2562
ก็เสมอเป็นเพียง 9 เดือน
อย่างเก่งอาจเล่นเอาเถิดจากปลายปี 2562 ไปยังต้นปี 2563 แต่ก็เพียงไม่กี่เดือนและจะลอยหน้าลอยตาอย่างไรหากมีอันต้องยื้อออกไปอีก
การยื้อจึงกลายเป็นงานหลักของ คสช.
บนฐานแห่งยุทธศาสตร์ “เขาอยากอยู่ยาว” อย่างที่ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ สรุปอย่าง
รวบรัดนับแต่เดือนกันยายน 2558 เป็นต้นมา
ถามว่า รายรับนี้ต้องจ่ายมากเพียงใด
รายจ่ายที่ว่านี้มิได้หมายเพียงศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของชายชาติอย่าง “คสช.” หากที่สำคัญเป็นอย่างมากคือการสูญเสียของชาติ
บ้านเมือง
ยิ่งยื้อยิ่งห่างไกลจาก “ประชาธิปไตย”