ไม่ว่าจะประเมินบทบาทของพรรคประชาธิปัตย์ในการเจรจาและต่อรองจะเข้าร่วมหรือไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐอย่างไร
เป็นการเล่น “เกม” เป็นการสำแดงความ “เขี้ยว”
แต่หากศึกษาแต่ละกระบวนท่าของพรรคประชาธิปัตย์อย่างต่อเนื่องก็จะทำให้มองเห็นได้ว่าทั้งหมดนี้มิได้เป็น “ยุทธวิธี” เพื่อเอาชนะเฉพาะหน้า
ตรงกันข้าม มีลักษณะรองรับเป้าหมายในทาง “ยุทธศาสตร์”
จะมองเห็นความเป็นพรรคประชาธิปัตย์ได้ชัดมากยิ่งขึ้นต้องมองอย่างเปรียบเทียบกับอีกหลายพรรคการเมืองที่ทางพรรคพลังประชารัฐส่งเทียบเชิญ
ไม่ว่าพรรครวมพลังประชาชาติไทย ไม่ว่าพรรคพลังท้องถิ่นไท
จุดต่างในที่นี้มิได้หมายความว่าพรรคประชาธิปัตย์มีจำนวน 53 ส.ส.ประการเดียว ตรงกันข้าม ยังอยู่ที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ทำให้จำนวน 53 ส.ส.มีบทบาทและมีความหมาย
หากไม่มีลักษณะในทาง “ยุทธศาสตร์” จะไม่เกิดผลเช่นนี้อย่างแน่นอน
เมื่อมองไปยังรายละเอียดการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรหลายคนอาจยอมรับในความเก๋าเกมของพรรคประชาธิปัตย์
ถามว่านั่นเป็นเรื่องในทาง “ยุทธวิธี” เท่านั้นหรือ
ถ้ามองเพียงว่าการเสนอ นายชวน หลีกภัย ออกมาก็เพื่อสำแดงความเหนือกว่าเชิงเปรียบเทียบกับ นายสุชาติ ตันเจริญ อาจเห็นเพียงลำหักลำโค่น
เพราะในที่สุดพรรคพลังประชารัฐก็จำต้องถอย
จำเป็นต้องมองด้วยว่าเหตุปัจจัยอะไรพรรคประชาธิปัตย์จึงต้องชิงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรมาอยู่ในมือ
เพราะนี่คือตำแหน่ง “ประธานรัฐสภา”
พลันที่ นายชวน หลีกภัย เข้าไปอยู่ในสถานะแห่งประธานรัฐสภาอันเป็นประมุขอำนาจนิติบัญญัติตำแหน่งนี้ก็ดำรงอยู่ในเชิง “ยุทธศาสตร์” โดยอัตโนมัติ
ตรงนี้จึงสัมพันธ์กับการดำเนิน “ยุทธวิธี” ในการต่อรองบทบาทใน “รัฐบาล”
ที่ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ระบุท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ว่า ไม่ใช่ “เขา” โยนอะไรมาก็ “งับ” หมดนั้น เป็นการสรุปอย่างแยกจำแนกและมีการเปรียบเทียบ
โดยพื้นฐานคือ เปรียบเทียบกับพรรคการเมืองอื่น
ยุทธวิธีของพรรคประชาธิปัตย์จึงมิได้อยู่ที่การต่อรองโดยพุ่งไปยังกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รวมถึงกระทรวงพาณิชย์
หากยังเป็นการต่อรองอย่างมี “แนวร่วม”
ภาพการโอบกอดระหว่าง นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กับ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์จึงเกิดขึ้น
โดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล ยืนยันว่า เป็น “การทำงาน”
จากนั้น พรรคประชาธิปัตย์ก็เปิดเงื่อนไขสำคัญเงื่อนไขหนึ่งในการจะร่วมหรือไม่ร่วมกับพรรคพลังประชารัฐก็คือ จะต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติม “รัฐธรรมนูญ”
ตรงนี้แหละคือ “หมาก” สำคัญ ตรงนี้แหละคือลักษณะในทาง “ยุทธศาสตร์”
ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าการเสนอความต้องการไปยังกระทรวงเกรด A ไม่ว่าการเสนอเรื่องความต้องการในการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยพรรคประชาธิปัตย์
มีหลายฝ่ายไม่เชื่อ และคิดว่าเสมอเป็นเพียงม่านควัน มิได้เป็นของจริง
พรรคประชาธิปัตย์อาจมี “ภาพลักษณ์” ในแบบ “ดีแต่พูด” แต่ก็ต้องยอมรับว่า การเคลื่อนไหวครั้งหลังนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในทางการเมือง มีโอกาสเป็นทั้งบวกและลบ
รออีกไม่เกินวันที่ 5 มิถุนายน ก็จะรู้คำตอบว่าแท้จริงพรรคประชาธิปัตย์เป็นอย่างไร