การเลือกตั้งซ่อมที่เขต 5 นครปฐม กำลังจะเป็นพื้นที่ในการเอกซเรย์และตรวจสอบความเป็น “สถาบัน” ของพรรคประชาธิปัตย์อย่างเข้มข้น
ไม่เพียงแต่จะต้องเผชิญกับ 1 พรรคอนาคตใหม่
หากพลันที่พรรคชาติไทยพัฒนาประกาศส่ง นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ ลงทวงพื้นที่คืน 1 สถานะ อันเป็นตัวแทนของรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์เริ่มสั่นคลอน
ไม่ว่า นายอลงกรณ์ พลบุตร ไม่ว่า นายสุรชัย อนุตธโต ล้วนออก “อาการ”
เป็นอาการน้อยใจ เป็นอาการตัดพ้อต่อว่า เป็นการที่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดพรรคชาติไทยพัฒนาจึงตัดสินใจเช่นนี้
ความมั่นใจของพรรคประชาธิปัตย์ก็เริ่มสั่นคลอน
แม้จะได้รับความเห็นชอบจากพรรคพลังประชารัฐ แต่ก็ไม่แน่ใจว่า 18,741 คะแนนจะยังเป็นของพรรคประชาธิปัตย์ได้หรือไม่
เพราะโดนแซะทั้งจากพรรคอนาคตใหม่ และพรรคชาติไทยพัฒนา
ขณะที่ยุทธศาสตร์ของพรรคอนาคตใหม่ คือ การชูให้การเลือกตั้งซ่อม เขต 5 นครปฐม เป็นเงาสะท้อนปรากฏการณ์ทางการเมืองระดับชาติ
พรรคประชาธิปัตย์ย้อนกลับไปสู่ระดับ “ท้องถิ่น”
ไม่ว่า นายสาธิต ปิตุเตชะ รองหัวหน้าพรรค ไม่ว่า นายอลงกรณ์ พลบุตร
ผู้อำนวยการการเลือกตั้งชูบทบาทความเป็นคนในพื้นที่ของ นายสุรชัย อนุตธโต
โฟกัสไปยังความเป็น “ส.จ.”
แต่พลันที่ชูความยอดเยี่ยมในสถานะแห่งความเป็น ส.จ.ก็ปรากฏกำแพงที่ขวางทะมื่นอยู่เบื้องหน้า คือเครดิตเก่าของ นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์
นั่นก็คือ สถานะแห่งความเป็น “บ้านใหญ่”
นี่คืออาการหลบเลี่ยงไปจากสภาพของปัญหาและความเป็นจริงทางการเมืองที่ดำรงอยู่ตั้งแต่รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นตัวแทน
ถามว่าภาวะระส่ำระสายในพื้นที่นครปฐมเกิดจากอะไร คนที่สามารถตอบได้ดีที่สุดคือคนในตระกูลสะสมทรัพย์
โดยเฉพาะเมื่อมีการใช้อำนาจพิเศษเข้ามาตรวจค้น
โดยเฉพาะภายหลังจากการตรวจค้น คุกคามแล้วก็ยกขบวนใหญ่ไปเยี่ยมเยียนถึงสนามกอล์ฟหวังจะดึงมาเป็นพวก
ตระกูลสะสมทรัพย์จึงต้องออกจากพรรคเพื่อไทย
นี่คือรอยแค้น นี่คือความเป็นจริงอัน คสช.ทั้งคณะกระทำต่อคนในตระกูลสะสมทรัพย์และทำให้เกิดเซื้อมูลให้กับการเมืองใหม่
การเมืองที่เติบโตมากับพรรคอนาคตใหม่ และ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
เขต 5 นครปฐม เป็นเขตที่เชื่อมต่ออย่างใกล้ชิดกับธนบุรีแห่งกรุงเทพมหานคร มีความอ่อนไหวเป็นพิเศษกับการเมืองระดับชาติ
การเมืองระดับชาติจึงเข้ามาในเขต 5 นครปฐมโดยอัตโนมัติ
พรรคประชาธิปัตย์จึงต้องเข้าสู่สนามแห่งการเอกซเรย์และตรวจสอบคุณภาพทางการเมืองอันแหลมคมอีกวาระหนึ่ง
ไม่เพียงแต่จะมีพรรคอนาคตใหม่คอยประกบ
หากที่สำคัญเป็นอย่างมากยังมีคนในตระกูลสะสมทรัพย์ผ่านกลไกของพรรคชาติไทยพัฒนาตรวจสอบอย่างมีนัยสำคัญ
จะรุ่งหรือจะร่วงก็เห็นได้ในวันที่ 23 ตุลาคม