ผู้กองแจมฝ่ายค้าน
เร่งกระแสเชี่ยว
ศึก ‘ไม่ไว้วางใจ’
การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งสุดท้ายของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่กำหนดโปรแกรมไว้ระหว่างวันที่ 19-22 กรกฎาคมนี้ เป็นจุดหักเหที่ทุกฝ่ายกำลังจับตา
ไฮไลต์มี 3 ส่วนด้วยกัน อยู่ที่
1.เนื้อหาการอภิปรายที่กำหนดไว้ 4 วัน ครั้งนี้ ฝ่ายค้านจัดคิวใหม่ ประเดิมเปิดฟลอร์ด้วย รัฐมนตรีจากภูมิใจไทย
ตามมาด้วย พรรคประชาธิปัตย์ จากนั้นคือคิวของ พลังประชารัฐ ตบท้ายด้วย 3 ป. ทั้งพี่ใหญ่ พี่กลาง และน้องเล็ก
โดยบอกว่า เพื่อรสชาติในการติดตามฟังการอภิปราย และหวังให้ผลสะเทือนจากการอภิปราย เขย่าไปถึงการตัดสินใจลงมติในวันถัดไป
มีการฉายหนังตัวอย่างของเนื้อหาการอภิปรายไปบางส่วน ยังไม่แน่ว่า ถึงวันขึ้นเวทีจริงจะดุเด็ดหรือไม่
ขณะที่รัฐบาลเตรียมตอบ เตรียมชี้แจงเต็มที่ เพราะรู้ว่าหากพลาดท่าตอบผิดตอบถูก จะกลายเป็น “เงื่อนไข” งานเข้า อาจถึงเก้าอี้หลุดได้ง่าย
2.การลงมติไม่ไว้วางใจ ซึ่งจะมีขึ้นในวันถัดไป ซึ่งน่าจะเป็นวันที่ 23 กรกฎาคม ต้องเพ่งเล็งไปที่ผลคะแนนจะออกมาอย่างไร และยังต้องเปรียบเทียบผลคะแนนระหว่างผู้ถูกอภิปรายด้วยกันอีก
และ 3.ผลที่จะตามมาหลังการอภิปราย หากนายกฯ เก้าอี้กระเด็น เพราะเสียงไม่ไว้วางใจเกินครึ่งของสภา ก็เป็นเรื่องใหญ่มาก ต้องเก็บของกลับบ้านสถานเดียว จะยุบสภาใดๆ ไม่ได้ทั้งสิ้น ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 จากนั้น รัฐสภาต้องสรรหานายกฯ คนใหม่ หรือถ้ารัฐมนตรีสอบตก เสียงไม่ไว้วางใจเกินครึ่ง ก็ต้องพ้นตำแหน่งอีกเหมือนกัน
กลายเป็นเงื่อนไขให้ นายกฯ ปรับ ครม. ตามแรงกดดันจากบางกลุ่มทั้งในพรรคและนอกพรรค
รสชาติที่คาดว่าจะแตกต่างออกไปในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ คือการที่ฝ่ายค้านได้ “น้องใหม่” เข้ามาร่วมวงไพบูลย์
เป็นน้องใหม่หน้าเก่า คือ พรรคเศรษฐกิจไทย ที่ปีกหักมาจากสนามเลือกตั้งซ่อมลำปาง สดๆ ร้อนๆ โดยผู้สมัครพ่ายแพ้ต่อผู้สมัครจากพรรคเสรีรวมไทย ด้วยช่องห่างคะแนนระดับแลนด์สไลด์
ว่ากันว่าผลการเลือกตั้งซ่อมลำปาง เป็นรายการ “สั่งสอน” จากผู้มีอำนาจ ทำให้เศรษฐกิจไทยลงสนามอย่างวิเวกวังเวง
ขณะที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า หัวหน้าพรรค สรุปบทเรียนเอง ชี้ว่า เกิดจากท่าทีของพรรคไม่ชัดเจนเองที่ยังใส่เสื้อกั๊ก สะเทินน้ำสะเทินบก ระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้าน ในขณะที่ประชาชนภาคเหนือไม่เอารัฐบาลนี้แล้ว
ผู้มีสิทธิในเขต 4 ลำปาง เลยเลือกพรรคเสรีรวมไทยที่ด่ารัฐบาลชัดถ้อยชัดคำดี แบบเทน้ำเทท่า
เรียกว่า โยนเหตุปัจจัยแห่งความพ่ายแพ้ให้กับรัฐบาลไป
ก่อนจะประกาศว่า ขอปรับเปลี่ยนจุดยืนพรรคไปตามกระแสของประชาชนภาคเหนือ
กราบลา “ลุงป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ไปเลือกข้างใหม่ ถอดเสื้อกั๊กเป็นฝ่ายค้าน
พร้อมกับย้ำว่า งานนี้ “ค้าน 100%”
ผู้กองธรรมนัสให้ข่าวต่อเนื่องว่า กำลังติดต่อขอเข้าร่วมกับ “ฝ่ายค้านร่วม” อย่างเป็นทางการ และขอแบ่งโควต้าเวลาอภิปรายในสภา เพื่อจะได้ร่วมอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วย
ขณะที่ฝ่ายค้านเอง ไม่ได้มีท่าทีในเชิงลบ เพราะผู้กองธรรมนัสไม่ใช่อื่นไกล เดิมเคยร่วมงานกับเพื่อไทยมาก่อน
ด้วยเหตุนี้ จึงมีแนวโน้มว่าศึกไม่ไว้วางใจครั้งนี้ อุณหภูมิจะแดงเดือดกว่าเดิมอีกหลายองศา โดยเฉพาะพรรคเศรษฐกิจไทยจะร่วมทำหน้าที่ฝ่ายค้านแบบเต็มที่ไม่มีกั๊ก
ทั้งในห้วงของการอภิปราย และในขั้นตอนการโหวต
หากดูจากจำนวนเสียงของรัฐบาลกับฝ่ายค้าน ไม่แปลกที่วิปรัฐบาลออกมายอมรับว่า หลังจากเศรษฐกิจไทยถอนตัวไป ทำให้เรือแป๊ะของ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในสภาพปริ่มน้ำ
สมการเสียงรัฐบาล เป็นปัญหา เพราะเศรษฐกิจไทยที่เคยค้ำรัฐบาลด้วยจำนวน 16 เสียงจะหายไป
แล้วไปเติมให้กับเสียงไม่ไว้วางใจของฝั่งฝ่ายค้าน
นอกจากนี้ กลุ่มพรรคเล็ก หรือกลุ่ม 16 ที่ยืนยันหนุนนายกฯ อาจโหวตสวน 5 รมต. แต่ขอฟังการชี้แจงในสภาก่อน ทำให้เห็นเค้าการปรับเปลี่ยนใน ครม.อยู่ลางๆ
กระแสใหญ่ของการเมืองที่สัมผัสได้ในขณะนี้ ก็คือ ความต้องการของประชาชนที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง
และกลายเป็นโจทย์ทางการเมือง ที่ทุกฝ่ายต้องหาทาง “ตอบโจทย์” นี้ให้ได้ หากต้องการความไว้วางใจจากประชาชน
ผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ที่ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ชนะแลนด์สไลด์ ตอบโจทย์ชัดเจน
การทำงานของผู้ว่าฯชัชชาติ ยิ่งตอกย้ำว่า การเปลี่ยนแปลงที่ประชาชนต้องการและลงคะแนนเลือกมานั้น คุ้มค่าและมาถูกทาง
ผลการเลือกตั้งซ่อมเขต 4 ลำปาง เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม แม้จะเกิดในพื้นที่ไกลออกไป แต่สัญญาณชัดมาก และไม่ยากที่จะตีความ
ในทุกโจทย์การเมืองจากนี้ไป การฝืนความเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องยาก
การอภิปรายไม่ไว้วางใจ 19-22 กรกฎาคมนี้ ก็ไม่หนีไปจากกระแสนี้ การย่างเท้าเข้ามาร่วมกับฝ่ายค้านของพรรคเศรษฐกิจไทย ตอกย้ำความเป็นไปได้ที่จะเกิดความเปลี่ยนแปลง
ขณะที่รัฐบาลเอง มีพันธะที่จะต้องโอบอุ้มกันเอง ซึ่งเป็นพันธะที่เปราะบางมากในกระแสการเมืองอย่างในปัจจุบัน
การอภิปราย 19-22 กรกฎาคม และการลงมติ ในขั้นตอนต่อมา จึงอ่อนไหวมากสำหรับรัฐบาล โดยเฉพาะ “2 ป.” และแกนนำที่เป็นเป้าหมาย
แม้รัฐบาลไม่ต้องการความเปลี่ยนแปลงในระยะนี้ แต่การเดินสวนกระแสไม่ใช่เรื่องง่าย
และยังไม่มีใครยืนยันได้ว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นในเรือแป๊ะ ที่ฝ่าคลื่นลมมาถึงปีที่ 8 แล้ว