ที่มา | คอลัมน์ ที่เห็นและเป็นไป, มติชนรายวัน อาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2566, หน้า 3. |
---|---|
ผู้เขียน | สุชาติ ศรีสุวรรณ |
‘ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ’ ทำไม
แม้ประเทศไทยเราจะประกาศต่อสากลโลก หรือนานาชาติว่า “ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย” แต่กลับเป็นประชาธิปไตยที่ทำความเข้าใจได้ยากมากว่า “เป็นระบอบการปกครองแบบไหนกันแน่”
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรครวมไทยสร้างชาติ ไปประกาศ “ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ” เป็นมอตโตหาเสียงเรียกคะแนนจากประชาชน
ทำให้เกิดการกล่าวขวัญไปกว้างขวางว่า “ช่างกล้า” เพราะในสายตาของคนจำนวนมากต่างเห็นร่วมกันว่ากว่า 8 ปีที่นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีบริหารประเทศผลงานที่ออกมาจากรัฐบาลภายใต้การสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหารชุดนี้ ไม่เพียงไม่มีอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศเท่านั้น แต่เกือบทั้งหมดกลับสะท้อนการนำพาประเทศถอยหลังเข้าคลองไปทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น
การเมืองที่สร้าง “ระบอบสืบทอดอำนาจ” ให้แข็งแกร่ง ยากจะเปลี่ยนแปลง
เศรษฐกิจที่มุ่งส่งเสริมการผูกขาดทางธุรกิจ ขยายความเหลื่อมล้ำ สร้างกลไกที่ทำให้ปากท้องของประชาชนส่วนใหญ่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของนายทุนใหญ่ส่วนน้อย
และสังคมที่นำพาความคิดความเชื่อของผู้คนไปหลงอยู่ในความงมงาย กระจายไปทั่วทั้งแผ่นดิน เทคโนโลยีแทนที่จะบริหารให้เกิดประโยชน์ต่อการสร้างความรู้และภูมิปัญญาให้ประชาชนกลับกลายเป็นช่องทางรุ่งโรจน์ของอาชญากรรมที่มาสร้างความเสียหายให้กับทรัพย์สินของประชาชน และชักนำเยาวชนให้หลงไปในช่องทางแห่งอบายมุข โดยเจ้าหน้าที่รัฐแทนที่จะทำหน้าที่ปราบปรามกลับสมคบคิดร่วมกับอาชญากรทำลายสังคมที่ดีงาม โดยมีหลักฐานที่ถูกนำมาแฉชัดเจน
นั่นเป็นสภาพของประเทศ และความเป็นไปในชีวิตของประชาชนในช่วงกว่า 8 ปีที่อยู่ภายใต้การบริหารรัฐบาลที่สืบทอดอำนาจมาจากคณะรัฐประหาร
ทำให้เมื่อ “พล.อ.ประยุทธ์” ในฐานะผู้นำการสืบทอด ประกาศแคมเปญการหาเสียงเลือกตั้งว่า “ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ” คนจำนวนมากที่ได้ยินจึงถึงกับอึ้งว่า “ช่างกล้า”
แต่นั่นดูเหมือนจะเป็นอาการจากความคิดของคนกลุ่มนั้น สำหรับตัว “พล.อ.ประยุทธ์” และ “ทีมงาน” คงไม่คิดอย่างนั้นแน่นอน
จะต้องเชื่อมั่นเต็มหัวใจว่าที่ “ทำแล้ว ทำอยู่” นั้นเป็นผลงานที่ประสบความสำเร็จอย่างเลิศหรู กระทั่งยินดีปรีดาที่กับการประกาศว่าจะ “ทำต่อ”
แน่นอน ต้องเป็นความเชื่อมั่นว่าจะเรียกกระแสสนับสนุนให้ได้เป็น “นายกรัฐมนตรี” ต่อไป
หากมองเผินๆ จะเห็นว่าเป็นเรื่องประหลาดมาก เพราะยากจะเชื่อว่า “ประชาชนส่วนใหญ่” ปลาบปลื้มยินดีไปกับผลงานแบบนั้น “ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ”
แต่ถ้ามองให้ละเอียดลงไปถึงกลุ่มเป้าหมายที่ “พล.อ.ประยุทธ์” ต้องการสื่อไปถึง จะเห็นว่ามีเหตุมีผลในทางที่เป็นผลดีต่อการยึดครองคะแนนนิยม
พรรครวมไทยสร้างชาติของ “พล.อ.ประยุทธ์” ไม่ได้หวังว่าจะได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรอยู่แล้ว ขอแค่ได้ 25 เสียงขึ้นไปที่ทำให้เพียงพอจะเสนอ “พล.อ.ประยุทธ์” เป็นนายกรัฐมนตรีได้ตามเกณฑ์ที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้
แต่จะเป็นการดีหากจะได้มากกว่านั้น เพราะจะเป็นเหตุผลนำมาอ้างในเรื่องความชอบธรรมได้บ้าง ที่มีบางคนในพรรคนี้คาดหวังไว้คือ 100 เสียง ซึ่งไม่ใช่พรรคที่ชนะได้เสียงข้างมากอยู่ดี
หากมองการเมืองให้ละเอียดลงไป จะพบว่าไม่มีทางเลยที่ “พรรค พล.อ.ประยุทธ์” จะได้เสียงจากประชาชนฝั่งประชาธิปไตย
การรวบรวมเสียงจะเป็นการช่วงชิงมาจาก “พรรคฝ่ายอนุรักษ์อำนาจนิยม” ด้วยกันเอง “แนวร่วม” เป้าหมายน่าจะอยู่ที่จาก “ภูมิใจไทย-ประชาธิปัตย์-พลังประชารัฐ” เป็นหลัก
เป็นคะแนนจากผู้คนที่พึงพอใจการนำการเมืองสู่ “ระบบอำนาจนิยม” เพราะไม่ชอบ “เสรีนิยม” ได้รับประโยชน์ หรืออยู่ในเครือข่ายของ “ธุรกิจผูกขาด” รวมถึง “ธุรกิจสีเทา” ที่สะดวกสบายกับการทำมาหากินในระบบอำนาจนี้ และเลยถึงกลุ่มคนที่หลงอยู่ในความเชื่องมงาย ใช้ชีวิตอยู่กับการพึ่งพาอำนาจที่เหนือกว่า
“ทำแล้ว” จึงเป็นผลงานที่พึงพอใจ “ทำอยู่” จึงชวนให้ชื่นชม และ “ทำต่อ” จึงเป็นความหวัง
ไม่ต้องใส่ใจว่าคนส่วนใหญ่จะคิดจะรู้สึกอย่างไร แค่ทำให้กลุ่มคนที่เป็นเป้าหมายเหล่านี้เทคะแนนมาให้อย่างเป็นกอบเป็นกำ ไม่แบ่งไปให้พรรคในสายเดียวกัน
นั่นเป็นความสำเร็จตามเป้าหมายแล้ว
ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกที่ “พล.อ.ประยุทธ์” จะกล้ากระกาศมอตโตการเมืองที่ชวนให้อึ้งกันทั่วหน้าแบบนั้น