คนมาจากโลกหน้า : โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก

เรื่องต่อไปนี้จำมาจากข้อเขียนของท่าน “นาคประทีป” หรือ พระสารประเสริฐ (ตรี นาคะประทีป) ท่านเขียนไว้ที่ไหน ผมก็ลืมแล้ว อ่านนานแล้ว แต่ยังจำเรื่องราวได้จึงขอนำมาเล่าให้ฟังอีก

กาลครั้งหนึ่งนานเท่าไรไม่ทราบ สตรีชาวนานางหนึ่ง เห็นคนแปลกหน้าเดินมา จึงถามว่า “ท่านมาจากไหน” บังเอิญชายคนนั้นเป็นหัวขโมยเจ้าเล่ห์ จึงวางท่าน่าเลื่อมใสก่อนตอบว่า

“ฉันมาจากโลกหน้าจ้ะ”

Advertisement

ได้ยินคำตอบนั้น เธอรู้สึกงง ถามย้ำอีกว่า “มาจากโลกหน้าจริงหรือ โลกหน้าเป็นอย่างไร”

ชายเจ้าเล่ห์ตอบว่า “โอย บอกเธอไปก็ไม่เข้าใจหรอก เพราะไม่เคยเห็น ป่วยการเปล่าๆ”

หญิงชาวนานึกขึ้นมาได้ว่า ลูกชายตนเพิ่งตายไปเมื่อสองเดือนที่ผ่านมา เขาไปโลกหน้าแล้ว จึงถามชายคนนั้นว่า “อ้อ ลูกชายฉันไปโลกหน้าเมื่อสองเดือนก่อน อยากทราบว่าท่านเห็นเขาไหม เขาชื่อ ไชเด็ด”

Advertisement

“โอ เจ้าหนุ่มนั้นนะรึ รู้จัก ทำไมฉันจะไม่รู้จัก เมื่อสามวันก่อนยังได้คุยกับเขาเลยเขาชื่ออะไรนะ เห็นพูดถึงแม่เขาอยู่เชียว”

“ชื่อ ไชเด็ด” หญิงชาวนาตอบด้วยความยินดี “เขาเป็นอย่างไรบ้าง”

ชายเจ้าเล่ห์ทำสีหน้ากังวล พลางถอนหายใจ กล่าวว่า

“ไม่ค่อยดีนักหรอก เขาไม่มีตังค์เลย จะหาซื้ออะไรกินก็ไม่ได้ เพราะเมื่ออยู่โลกมนุษย์ไม่ค่อยทำบุญทำทาน พระประดับเจดีย์สักองค์ก็ไม่ได้สร้างไว้ จึงอยู่อย่างอดๆ อยากๆ ข้าก็ได้ให้เงินเขาบ้างเล็กน้อยตามมีตามเกิด แต่ก็ไม่มาก เพราะข้าก็ไม่ค่อยมีเหมือนกัน”

“ถ้าเช่นนั้น ฝากเงินไปให้เขาบ้างได้ไหม” สตรีชาวนาถาม เขารอคำพูดนี้มานานแล้วสมใจเสียที

“ได้เลย จะฝากไปเท่าไหร่ล่ะ ข้าจะกลับโลกหน้าวันนี้พอดี”

และแล้ว หญิงชาวนาก็เอาเงินใส่ถุงให้ชายแปลกหน้าจำนวนหนึ่ง เขารับถุงเงินก็รีบไป สามีของหญิงชาวนากลับมาจากทำธุระ เห็นเข้าพอดี จึงร้องดุภรรยาว่า เธอหลงกลชายแปลกหน้าเข้าแล้ว คนมาจากโลกหน้ามันมีที่ไหน ว่าแล้วก็คว้าปืนห้อม้าตะบึงไล่ตามไป

ชายเจ้าเล่ห์วิ่งมาถึงนาซึ่งอยู่ติดกัน เห็นเจ้าของยืนอยู่ จึงละล่ำละลักว่า “ไอ้คนนั้นมันบอกว่า มันจะมาคิดบัญชีกับท่าน มันหาว่าท่านไปยิงสัตว์ของเขา”

เจ้าของที่นานั้น ยืนงง ตนมิได้ไปทำอะไรตามที่ชายแปลกหน้าบอกสักหน่อย แต่เมื่อถูกรบเร้าและเห็นท่าทางคนที่ควบม้ามาจะเอาเรื่องจริงๆ จึงรีบวิ่งไปทางเชิงเขาเตี้ยๆ ซึ่งอยู่ติดกับนาของตนไป

ชายแปลกหน้าหยิบหมวกของชาวนาขึ้นมาสวม ปลอมเป็นเจ้าของนาเสียเอง เมื่อถูกถามว่า ไอ้คนที่วิ่งเมื่อตะกี้ไปไหน จึงชี้มือไปพลางกล่าวว่า

“มันวิ่งขึ้นเขาไปแล้ว”

ชายคนนั้นจึงลงจากหลังม้า กล่าวกับเจ้าของนาปลอมว่าฝากม้าด้วย แล้วรีบวิ่งตามไปทันในป่า “เอ็งเสร็จข้าแน่คราวนี้”

“ได้โปรดเถอะนาย หมาของนายมันมากินไก่ข้า ข้าแค่ยิงขู่มันเท่านั้น แต่กระสุนไปถูกมัน ข้าไม่ได้ตั้งใจให้มันตายเลย”

“เอ็งว่าอะไรของเอ็ง ไม่ใช่เรื่องหมาเรื่องแมวที่ไหน เอ็งเอาเงินเมียข้ามาเมื่อกี้นี้ หลอกว่าจะเอาให้ลูกชายข้าโลกหน้าตะหาก”

อาการพิศวงงงงวยของเจ้าของนา ทำให้ชายคนไล่ตามชักเอะใจ ว่าเขาทั้งสองถูกลวงโดยชายเจ้าเล่ห์เสียแล้ว จึงรีบกลับมาโรงนา

ชายเจ้าเล่ห์ขี่ม้าของเขาหนีไปไร้ร่องรอยแล้ว

เขาเดินคอตกกลับบ้าน เมียถามว่า ม้าหายไปไหน จึงตอบว่า

“ก็ฝากไปพร้อมถุงเงินแกนั้นแหละ ข้าสงสารว่าลูกจะเดินเท้าเปล่า เลยฝากม้าไปให้มันใช้ในโลกหน้าด้วย”

รุกขเทวดาที่สิงสถิตอยู่ ณ ต้นมะม่วงใกล้ๆ ทราบเหตุการณ์ตลอด รู้สึกสังเวชใจ จึงเปล่งอุทานออกมา (แต่ไม่มีใครได้ยิน) ความว่า

ศรัทธา (ความเชื่อสิ่งที่ควรเชื่อ) เป็นทรัพย์อันประเสริฐของคน

ศรัทธา นับเป็นเพื่อนสนิทของคน ถ้าใครพึงเชื่ออะไรๆ เสียหมด

โดยงมงายไร้เหตุผลไซร้ เขาย่อมประสบหายนะ เพราะความงมงายนั้น

ครับ หมดตูดไปเพราะเชื่ออะไรง่ายๆ ไปเยอะ คนเจ้าเล่ห์ที่หลอกลวงคนงมงายไปท้ายที่สุดก็หมดตูดเหมือนกัน เพราะถูกคนเจ้าเล่ห์กว่าขูดรีดไป

ทำอย่างไรย่อมได้อย่างนั้นนะจ๊ะ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image