จีนเปิดตำรา‘ซุนวู’รับศึกการค้า โดย ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช

กระบวนท่าผลุบๆ โผล่ๆ พูดจาหุนหันพลันแล่น ชนิดกลืนน้ำลายตัวเองของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในประเด็นขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนมูลค่ามหาศาล เป็นเหตุให้จีนต้องเปิดตำรา “ซุนวู” มารับศึกครั้งนี้
เป็นเรื่องใหญ่

ย้อนหลังมองอดีต 3 เดือนที่ผ่านมา การแข่งขันกันทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐ เด่นชัดยิ่งในประเด็น “เปลี่ยน” ของสหรัฐ และ “ไม่เปลี่ยน” ของจีน

รัฐบาลสหรัฐได้ออกประกาศเกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษีนำเข้าซึ่งสินค้าเพิ่มขึ้นจากเดิม และ “โดนัลด์ ทรัมป์” ได้ลงทวิตเตอร์ตามหลังความว่า “ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และข้าพเจ้าจะเป็นเพื่อนตลอดกาล…ทั้งสองประเทศต้องมีอนาคตที่ยิ่งใหญ่” และ “ฉันทามติวอชิงตัน” ระหว่างจีน-สหรัฐ ในประการไม่ทำสงครามการค้าได้ถือกำเนิดขึ้นกลางเดือนพฤษภาคม

ต่อมาอีก 10 วัน สหรัฐเกิด “เปลี่ยน” กะทันหัน โดยประกาศว่า ตั้งแต่ 15 มิถุนายน เป็นต้นไป สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีการนำเข้าสินค้าจากจีนมูลค่า 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐในพิกัดร้อยละ 25 ซึ่งหมายความรวมถึงสินค้าประเภทไฮเทคด้วย

Advertisement

พลันที่จีนได้ทำการปรับการรับซื้อผลิตภัณฑ์ทรัพย์สินทางปัญญาและเทคนิค ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ไม่มีความยุติธรรม

“โดนัลด์ ทรัมป์” ก็ได้ออกประกาศเมื่อ 18 มิถุนายน โดยข่มขู่ว่า “สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีการนำเข้าสินค้าอีก 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ในอัตราร้อยละ 10”

แม้จีนไม่มีความประสงค์ทำสงครามการค้ากับสหรัฐ แต่วันนี้จีนเหลือทนแล้วกับพฤติกรรมกลับกลอกของสหรัฐ พร้อมแล้วที่จะรับศึกครั้งนี้ เพื่อปกป้องประเทศและผลประโยชน์อันชอบธรรมของประชาชน อีกทั้งเป็นการธำรงรักษาไว้ซึ่งระเบียบวินัยทางการค้าระหว่างประเทศ และผลประโยชน์ร่วมกันของชาวโลก

Advertisement

ทว่าการรับศึก ก็ต้องศึกษาแนวรบ ประเสริฐสุดคือ “ตำราซุนวู” วิธีต่อสู้กับผู้ที่พูดจาปลิ้นปล้อน ปากว่าตาขยิบเป็นอาจิณ ไม่รักษาสัจจะ และเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนนั้น แนวรบที่น่าจะสัมฤทธิผลคือ “การไม่เปลี่ยนด้านการเปลี่ยน”

พฤติกรรม “เปลี่ยน” นั้น “ทรัมป์” เรียกว่า “เทคนิคทางการค้า” แต่ก็ต้องถือว่า “ฉันทามติวอชิงตัน” ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง อีกประการหนึ่ง คณะเจรจาของสหรัฐเกิดความแตกแยกกัน กระดูกต่างเบอร์ เลือดต่างกลุ่ม และทำเพื่อหาเสียงสำหรับการเลือกตั้ง “มิดเทอม” เท่านั้น ตลอดจนสองพรรคการเมือง “ศรศิลป์ไม่กินกัน” ต่างโจมตีซึ่งกัน โดยพรรคเดโมแครตรู้ว่าเกิดการแตกแยกภายในรัฐบาลทรัมป์ จึงถั่งโถมโหมแรงไฟ

นักวิเคราะห์จำนวนมากมองว่า การแก้ปัญหาการค้าจีน-สหรัฐ ไม่สมดุลนั้น มิใช่หวังพึ่งให้จีนเพิ่มการซื้อสินค้าสหรัฐเท่านั้น เพราะปัญหานี้มีส่วนเกี่ยวโยงกับโครงสร้างเศรษฐกิจของจีน-สหรัฐ “Value Chain” ทั่วโลก และอัตราการออมทรัพย์ในสหรัฐอยู่ในเกณฑ์ต่ำ การจับจ่ายใช้สอยฟุ่มเฟือยเกินเหตุ ตลอดจนการจำกัดการส่งออกซึ่งผลิตภัณฑ์ไฮเทคไปยังจีน เป็นต้น

นอกจากนี้ สหรัฐไม่มีความสามารถในการแก้ปัญหา “วิกฤตสินเชื่อซับไพรม์” ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2008 กลายเป็นปัญหาเรื้อรัง เป็นเหตุให้การกระจายรายได้ไม่สัมฤทธิผล ธุรกิจอุตสาหกรรมตกต่ำ ประชาชนระดับรากหญ้าได้รับผลกระทบรุนแรง

แม้ว่าสหรัฐมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 1 ของโลก จีนอยู่ในอันดับที่ 2 และไล่มาติดๆ วันนี้สหรัฐอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงยิ่ง ถ้าพลาดท่าเสียที อาจตกเป็น 2 รองจากจีน

กรณีน่าจะรับฟังได้ว่า ปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐวันนี้ ตกต่ำมาก เขาพยายามสร้างความชอบธรรมขึ้นมาเพื่อกล่าวหาจีน และทำการสกัดจีนไม่ให้โต

เพราะสหรัฐยังไม่ยอมลดละความเป็น “พี่ใหญ่” ในโลก

เชื่อขนมกินได้ว่า นี่คือสาเหตุแท้จริงที่สหรัฐใช้เป็นสรณในการทำสงครามการค้ากับจีน

และเด่นชัดยิ่งในเป้าหมายทำสงครามการค้า คือ “ธุรกิจอุตสาหกรรมจีน 2025” แต่สงครามการค้าเป็นเพียงกระบวนท่า จุดมุ่งหมายคือประสงค์กดดันให้จีนลดละการอุ้มธุรกิจประเภทไฮเทค สกัดไม่ให้จีนยกระดับทางการค้า ทั้งนี้ เพื่อธำรงรักษาไว้ซึ่งความเป็นผู้นำทางธุรกิจไฮเทคของโลก และครองความเป็นเจ้าโลกของสหรัฐต่อไปอย่างนิรันดร์

แต่ “ทรัมป์” มองเหรียญเพียงด้านเดียว

อย่าลืมว่า เกี่ยวกับปัญหาผลประโยชน์มหาศาล จีนไม่มีวันยอมถอย การข่มขู่ของสหรัฐมิอาจทำให้จีนลดละหรือยุติการพัฒนาเศรษฐกิจ ตามจังหวะจะโคนเป็นอันขาด

ท่ามกลางสงครามเศรษฐกิจยังดำรงอยู่และมีทีท่าว่ากำลังยกระดับ แต่จีนยึดมั่นในหลักการพัฒนาประเทศต่อไปไม่แปรเปลี่ยน เสมือนเรือที่แล่นทวนน้ำ และเจอกระแสลมแรงอีกด้วย

ย้อนหลังมองอดีต จีนเปิดประเทศเมื่อ 1978 เป็นเวลา 40 ปี ตั้งแต่ชนบทสู่ชุมชนเมืองตั้งแต่จุดทดลองถึงขั้นขยายขอบเขตการปฏิบัติ ตั้งแต่การปฏิรูปขนาดเศรษฐกิจจนกระทั่งปฏิรูปในเชิงลึกทั่วประเทศ จีนปฏิบัติตามสภาพและสถานะของประเทศตนมาโดยตลอด

วันนี้ จีนเดินอยู่บนเส้นทางสายไหม “One Belt One Road” ซึ่งเชื่อมติดกับ 3 ทวีปแล้ว

เด่นชัดยิ่ง เป็นการสร้างสัมพันธ์กับชาวโลก

ปี 2015 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้เน้นย้ำจุดยืนของจีนเรื่อง “ไม่เปลี่ยน” รวม 3 ข้อ

1.นโยบายจีนใช้ทุนต่างชาติ

2.หลักประกันเกี่ยวกับผลประโยชน์ที่ชอบด้วยกฎหมายของนักลงทุนต่างชาติ

3.ให้บริการที่ดีแก่นักลงทุนต่างชาติ

บัดนี้ จีนได้ย่างก้าวเหยียบบาทเข้าสู่ศักราชใหม่แล้ว ความจริงยืนยันได้ว่า รัฐบาลจีนยืนหยัดนโยบาย “ไม่เปลี่ยน” เป็นต้นว่า ทำให้ชีวิตคนจีนอยู่ดีมีกิน ผลักดันเศรษฐกิจให้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง บรรลุแผนการเปิดกว้างประเทศมากขึ้น ตลอดจนการสร้างคุณูปการให้ชาวโลกดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง ล้วนไม่เปลี่ยน และยังคงดำรงอยู่ต่อไปอย่างเป็นนิรันดร์

เป็นความเชื่อมั่นของจีนว่า “การไม่เปลี่ยนต้านการเปลี่ยน” น่าจะเอาชนะสหรัฐในสงครามการค้าได้ อีกทั้งเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อชาวโลกได้อีกโสดหนึ่ง

ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงของโลก “ความมั่นคง” เปรียบเสมือนสินค้าที่ทรงคุณค่าที่ขาดตลอด

ความเชื่อมั่นในตัวสูงอย่างจีน แม้ได้ประสบพานพบคลื่นลมแรง แต่ก็ไม่ย่อท้อและยังใช้นโยบาย “ไม่เปลี่ยน” บริหารประเทศ ปกครองคนของตนและแสดงความรับผิดชอบต่อชาวโลก

วันนี้ประเทศจีนกลายเป็น “Stabilizer” ของโลกแล้ว

ในสายตาของสหรัฐ จีนเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว ในสายตาของ “โดนัลด์ ทรัมป์” นั้น “สี จิ้นผิง” ก็เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวเช่นกัน

ถ้าเป็นนักมวย ต้องถือว่า “โดนัลด์ ทรัมป์” เป็นรอง และรองกว่า “สี จิ้นผิง” หลายขุม

ว่ากันว่า “ทรัมป์” กินข้าวด้วย “ช้อนทองคำ” ในขณะที่ “สี” ใช้ “ตะเกียบ”

แต่ “สี” เป็นมวยเหนือชั้นกว่า ความรู้มี ดีกรีสูง ปริญญาดุษฎีบัณฑิตนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยชิงหัว สั่งสมประสบการณ์ทางการเมืองไว้เพียบ เป็นคนประเภทเสือรู้เสือซุ่มและน้ำนิ่ง…พูดน้อยต่อยมาก เป็นมวยเวที อย่างมิต้องสงสัย

ชีวิตรับราชการส่วนใหญ่อยู่ในมณฑลเมือง เมื่อเข้ามาทำงานที่ส่วนกลางคือปักกิ่ง เนื่องจากพื้นฐานการศึกษาและความสามารถสูง เปี่ยมด้วยด้วยประสบการณ์ด้านยุทธศาสตร์ กอปรกับสายสัมพันธ์ อันเนื่องจากบิดาเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของ “เติ้ง เสี่ยวผิง” งานจึงเข้า

เขาเป็นนักปฏิรูป มีความคิดสร้างสรรค์ เคยทำการพัฒนาเศรษฐกิจตามชายฝั่งทะเลได้สำเร็จ อีกทั้งเป็นคนฉลาด ไม่ทำอะไรให้เป็นจุดเด่น เพราะทำเด่นความเสื่อมก็จะมาเยือน ฉะนั้น ชีวิตราชการของเขาจากมณฑลเมืองถึงเซี่ยงไฮ้สู่ปักกิ่ง จึง “Keep low profile” มาโดยตลอด

บิดาของเขาชื่อ “สี จ้งซิน” รัฐบุรุษของจีน เป็นนักการเมืองรักชาติที่เป็นหนึ่งในผู้ร่วมสร้างประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน อดีตกรรมการบริหารพรรค เลขาธิการพรรค มณฑลกวางตุ้ง และเป็นรองนายกรัฐมนตรีสมัยที่ “โจว เอิน ไหล” เป็นนายกรัฐมนตรี

ฉะนั้น “สี จิ้นผิง” ก็คือ “ลูกไม้ใต้ต้น” ที่เจริญรอยตามบิดา

ส่วน “ทรัมป์” นั้น แม้จะมีฐานะเป็นมหาเศรษฐีระดับโลก แต่พื้นฐานทางการเมืองค่อนข้างเจือจาง ความรู้ด้านต่างประเทศมีน้อยมาก เป็นคนโผงผางโฉ่งฉ่างบุ่มบ่าม ชั่วโมงบินก็ยังมีไม่พอ บุคลิกไม่ต่างไปจากโคบาลในภาพยนตร์ ถ้าเปรียบนักมวยก็คือ “มวยวัด”

อย่างไรก็ตาม สงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐที่กำลังดำรงอยู่ และมีทีท่าจะยกระดับนั้น

ระหว่าง “ช้อนทองคำ” กับ “ตะเกียบ” นั้น จะลุกลามบานปลายไปอย่างไร

น่าจับตามอง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image