ธรรมชาติลงโทษ

หมู่นี้ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้ ได้เกิดภัยธรรมชาติเกี่ยวกับน้ำมากมาย เช่นน้ำท่วมถึงหลังคาบ้าน ประชาชนเดือดร้อน ไม่มีบ้านพักอาศัย กระแสน้ำพัดพาหลายชีวิตจมไปในกระแสน้ำ ภัยต่างๆ เหล่านี้ เริ่มที่ประเทศญี่ปุ่น ประเทศลาว ดูเหมือนเกิดขึ้นทั่วโลกแล้ว และเกิดมานานแล้ว

สำหรับประเทศไทยก็เกิดที่จังหวัดน่าน ฝนตกหนักดินสไลด์ลงมาทับคนตายไป 8 ศพ ความวิบัติเหล่านี้ พวกเราที่มีชีวิตอยู่ปัจจุบัน จะอ้างว่ามันเป็นภัยธรรมชาติ ซึ่งมันเกิดขึ้นเพราะความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศบ้าง อ้างว่าโลกร้อนมากขึ้นบ้าง ซึ่งเมื่อพูดถึงความเป็นธรรมชาติอย่างนี้ พวกเราจะรู้กันว่า พวกเราไม่มีทางที่จะหนีมันพ้น ทุกคนต้องก้มหน้ารับอย่างไม่มีทางหลีกหลบ แต่เมื่อเราไป
ศึกษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เราจะพบว่าภัยวิบัติเหล่านี้ เกิดขึ้นมาเพราะฝีมือมนุษย์ทั้งสิ้น

เมื่อพูดออกมาอย่างนี้ บางคนก็ไม่เชื่อ จึงขอยกตัวอย่างให้เห็นอย่างชัดๆ เอาเฉพาะเมืองไทย ทุกคราวที่เกิดน้ำหลากจากภูเขาท่วมทับพัดพาตันไม้ก้อนหินลงมาทลายบ้านเรือนและชีวิตคนและสัตว์มากมายนั่น! มาจากใคร? เรื่องนี้ ทุกวันนี้เราก็รู้กันแล้วว่ามันมาจากอำนาจรัฐที่ให้สัมปทานป่าไม้ ผู้รับสัมปทานตัดไม้จนหมด ตามกฎหมายบอกไว้ชัดว่าเมื่อตัดไม้หนึ่งต้น ผู้รับสัมปทานต้องปลูกเพิ่มหนึ่งต้น แต่ผู้รับสัมปทานไม่ปลูก ทางราชการหาได้เอาใจใส่ไม่ ว่าเขาปลูกเสริมให้หรือไม่

ถามว่าเพราะเหตุใดจึงไม่เอาใจใส่

Advertisement

ตอบกันตรงๆ เลยว่า เพราะเงินของผู้รับสัมปทานนั่นไง!

ที่ร้ายไปกว่านั้น เมื่อหมดอายุสัมปทานแล้ว ควรจะคืนที่ดินให้กับรัฐ รัฐจะได้แจกให้คนยากจนต่อไป แต่ในความเป็นจริงมันไม่เป็นอย่างนั้น เพราะอะไร? ก็เพราะข้าราชการเข้าข้างคนมีเงิน นักการเมืองเข้าข้างคนมีเงิน ที่ดินที่หมดอายุสัมปทานแล้ว ผู้รับสัมปทานจึงยังถือครองอยู่ บางครั้งถ้าข้าราชการเอาจริง ไม่เห็นแก่เงินของคนรวย เขาผู้นั้นอาจถูกทำลายชีวิตก็ได้ แบบนี้มีไหม? มันมีมาแล้ว! เพราะเหตุนี้แหละ ป่าทุกป่า ภูเขาทุกลูกจึงหมด ต้นไม้ที่จะชะลอน้ำมิให้ไหลลงไปทำลายชีวิตและบ้านเรือน ในที่ราบลุ่ม อย่างนี้พระพุทธเจ้าเรียกว่ามนุษย์ไม่ประพฤติธรรม จึงก่อให้เกิดน้ำท่วมน้ำหลาก
การไม่ประพฤติธรรมตามที่กล่าวมาข้างบน เป็นการไม่ประพฤติธรรมที่ทุจริต แบบที่ภาษาไทยเรียกว่าฉ้อราษฎร์บังหลวง คือเรียกเงินจากผู้รับสัมปทาน แต่ปิดเป็นความลับ ไม่ให้หลวงรู้ นอกจากนั้น ยังมีการไม่ประพฤติธรรมที่ไม่ทุจริตอีก และการที่ไม่ประพฤติธรรมอย่างนั้น ก็ก่อให้เกิดน้ำท่วมเช่นกัน เรามาดูกันว่ามันคืออย่างไร? ทุกวันนี้ น้ำมักท่วมตามตัวเมือง เช่นที่กรุงเทพฯ และตัวเมืองอื่นๆ เช่นขณะนี้น้ำกำลังท่วมตัวเมืองสกลนคร

ถามว่า มันท่วมเพราะสาเหตุใด

Advertisement

ตอบว่า มาจากมนุษย์นี่แหละ

คืออย่างไร? เราจะเห็นว่าทุกวันนี้ ตามเมืองต่างๆ จะมีคนปลูกบ้านขาย เมื่อจะปลูกบ้าน ก่อนอื่นต้องถมดิน เพื่อไม่ให้น้ำท่วม ดังนั้น ในตัวเมืองจึงเป็นที่สูงระดับถนน สำหรับถนนเล่าทางการก็สร้างเพื่อให้รถวิ่งได้สะดวก ประชาชนจะได้เดินทางสบาย การถมดินปลูกบ้านก็ดี ทำถนนให้รถวิ่งก็ดี มันขวางทางน้ำ เมื่อฝนตกหนัก มวลน้ำมหาศาลก็ไหลมาเอ่อที่ถนนและตัวเมือง คนในตัวเมืองซึ่งเป็นคนมีบารมีกลัวน้ำจะท่วมบ้าน กลัวน้ำจะท่วมถนนไปไหนไม่ได้ จึงอ้างว่าอย่าให้น้ำท่วมเขตเศรษฐกิจนะ ทางการจึงทำเขื่อนบ้าง ปิดทางน้ำในลำคลองบ้าง เมื่อน้ำไม่มีทางไป มันก็ท่วมนาสวนชาวเกษตร นี่คือเขตเศรษฐกิจที่แท้จริง จากนั้นความเดือดร้อน ก็กระจายไปทั่ว ถามว่า ความเดือดร้อนดังกล่าวมานี้ มนุษย์ทำเองหรือไม่ ใช่! มนุษย์ทำเองแน่นอน อย่าไปโทษดินฟ้าอากาศเลย

บางคนก็อ้างว่าโลกร้อนขึ้น จึงทำให้ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไป หรือจะพูดกันตรงๆ เลยว่า มนุษย์ทุกวันนี้ เมื่อฝนตกหนัก ทำลายชีวิต ทำลายบ้านเรือน ก็อ้างว่าเพราะโลกร้อนขึ้นจึงเป็นแบบนี้ นั่นก็อ้างสาเหตุ เพื่อปัดความผิดของมนุษย์เองทั้งหมด ถามว่าใครทำให้โลกร้อน ก็มนุษย์อีกนั่นแหละ! เรื่องแบบนี้รัฐบาลทั่วโลกรู้กันแล้ว แต่ละประเทศจึงหาทางตกลงกันเพื่อลดความร้อนของโลก ที่เกิดจากแต่ละประเทศก่อขึ้น จากโรงงานอุตสาหกรรมของแต่ละประเทศ แต่จนบัดนี้ก็ลดไม่ได้ ข่าวว่าประเทศไทยเองก็ยังลดไม่ได้เช่นกัน
เมื่อพูดถึงโลกร้อน บางคนก็พูดไปถึงว่า เมื่อโลกร้อนขึ้น มันจะทำให้หิมะที่เกาะอยู่ที่ขั้วโลกเหนือละลายลงมา แล้วนั่นแหละจะทำให้น้ำท่วมโลกได้ มีหลายคนเชื่อเรื่องนี้ แต่ผู้เขียนไม่เชื่อ ถามว่าทำไมไม่เชื่อ จะตอบโดยการอธิบายดังต่อไปนี้ ถามอีกว่า หิมะที่จับขาวโพลนอยู่บนยอดเขาขั้วโลกเหนือนั้นมันมาจากไหน ตอบว่ามันมาจากน้ำในมหาสมุทรที่พระอาทิตย์เผากลายเป็นไอน้ำลอยขึ้นไปบนอากาศ เมื่อมันเจอะเจอความเย็นที่ขั้วโลกเหนือมันก็กลายเป็นน้ำแข็งอยู่บนขั้วโลกเหนือนั้น และเมื่อโลกร้อนขึ้น แม้หิมะมันจะละลายมาจนหมด ก็หาทำให้น้ำท่วมโลกไม่ เพราะน้ำมันกลับมาแหล่งเดิมของมันที่มันเคยอยู่ และที่มันเคยอยู่มานั้น มันไม่เคยทำให้น้ำท่วมโลกเลย

การที่บังอาจยืนยันว่าแม้โลกจะร้อนทำให้หิมะละลายได้ แต่ก็ไม่อาจทำให้น้ำท่วมโลกได้ ตามที่ชาวอเมริกาเป็นต้นคิดนั้น ก็เพราะได้พบหลักฐาน ในพระไตรปิฎกภาษาไทย ชื่อพระสูตรและอรรถกถาเล่มที่ 37 หน้า 399-404 ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ดูก่อน ปหาราทะ แม่น้ำทุกสายในโลก ย่อมไหลมารวมกันในมหาสมุทร และสายฝนจากอากาศตกลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทรก็มิได้ พร่องหรือล้น เพราะน้ำเหล่านั้นเลย”

ความหมายเรื่องนี้ก็คือ แม้ฝนซึ่งเป็นน้ำมาจากไอน้ำจากมหาสมุทร และน้ำจากแม่น้ำทุกสาย ที่มาจากการละลายของหิมะ แล้วมาร่วมกันในมหาสมุทร ก็ไม่สามารถทำให้มหาสมุทรล้นฝั่งได้ อีกทั้งในคัมภีร์อรรถกถาของพระสูตรนี้ ยังกล่าวว่า ตั้งแต่ปฐมกัปป์เป็นต้นมา น้ำในหาสมุทร ไม่เคยพร่องและล้นฝั่งเลย
ดังนั้น ไม่ต้องเชื่ออีกต่อไปว่า เมื่อโลกร้อนหิมะจะละลายน้ำท่วมโลก

ขณะนี้ประเทศยุโรปบางประเทศกำลังเกิดคลื่นความร้อนอย่างรุนแรง จนทำให้คนตายบ้างแล้ว น้ำท่วมน้ำหลากจนทำให้คนตายก็ดี คลื่นความร้อนที่เกิดจนทำให้คนตายก็ดี ผู้ปกครองบ้านเมืองและนักวิชาการก็บอกกับประชาชนว่าเป็นภัยธรรมชาติที่มนุษย์ควบคุมไม่ได้ แล้วทุกคนก็เชื่อตามที่รัฐบอก แต่เมื่อไปอ่านในคำสอนที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ในพระไตรปิฎก กลับเป็นว่า ฝนตกหนักจนคนตาย หนาวจัดจนคนตาย คลื่นความร้อนร้อนจัดจนคนตาย เป็นเพราะฝีมือมนุษย์ทั้งสิ้น เพื่อยืนยันเรื่องดังกล่าว จึงขอยกพระพุทธวจนะ ที่พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ ในพระไตรปิฎกภาษาไทย ชื่อ พระสูตรและอรรถกถาแปล เล่ม 56 หน้า 225 ความโดยสรุปว่า เมื่อผู้ปกครองบ้านเมืองไม่ประพฤติธรรม โดยการทุจริตก็ดี ไม่ประพฤติธรรมเพราะตกอยู่ในความโลภก็ดี ข้าราชการก็จะไม่ประพฤติธรรม เมื่อข้าราชการไม่ประพฤติธรรม สมณะก็จะไม่ประพฤติธรรม จากนั้นประชาชนก็จะไม่ประพฤติธรรม เมื่อประชาชนไม่ประพฤติธรรม พระอาทิตย์จะเดินผิดทาง เมื่อพระอาทิตย์เดินผิดทาง ลมจะพัดรุนแรง เมื่อลมพัดรุนแรง วิมานของอากาศเทวดาจะสะเทือน เมื่อวิมานของอากาศเทวดาสะเทือน เทวดาจะโกรธ เมื่อเทวดาโกรธจึงไม่ให้ฝนตก หรือไม่ก็ให้ตกชนิดที่ไม่ทำประโยชน์ให้ แต่กลับสร้างความเดือดร้อนให้มนุษย์

ขอเพิ่มเติมในพระพุทธพจน์ที่ยกมาข้างบน ในประโยคที่ว่า เมื่อประชาชนไม่ประพฤติธรรม เพราะผู้ปกครองบ้านเมืองเป็นตัวนำแล้ว พระอาทิตย์จะเดินผิดทาง คำว่าพระอาทิตย์เดินผิดทางนี้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระสูตรอื่นที่ระบุถึงสาเหตุที่ทำให้อายุของมนุษย์ลดลงว่า เมื่อมนุษย์ไม่ประพฤติธรรม พระอาทิตย์จะเดินผิดทาง เมื่อพระอาทิตย์เดินผิดทาง ฤดูจะเปลี่ยนไป เมื่อฤดูเปลี่ยนไป ข้าว ผัก ผลไม้ ที่เป็นอาหารของมนุษย์ก็จะไม่แก่จัด เมื่อมนุษย์กินอาหารที่ไม่สมบูรณ์ ไม่แก่จัด อายุก็จะสั้นลง แต่ในพระสูตรนี้พระองค์ไม่ตรัสเรื่องพระอาทิตย์เดินผิดทางเลย พระองค์ต้องการเน้นเรื่องความไม่เป็นธรรมของผู้ปกครองบ้านเมือง เมื่อตรัสว่า เมื่อมนุษย์ทั่วประเทศ ทั่วโลก ไม่ประพฤติธรรมแล้ว ลมจะพัดรุนแรง เมื่อลมพัดรุนแรง วิมานของอากาสเทวดาจะสั่น เมื่อวิมานของอากาศเทวดาสั่น เทวดาก็จะโกรธมนุษย์

ดังนั้นท่านจึงแกล้งเรื่องฝนตกหนัก และฝนไม่ตก และการที่ผู้เขียนเพิ่มประโยคว่า พระอาทิตย์เดินผิดทาง เข้ามาในพระสูตรนี้ ก็เพราะการที่ลมจะพัดรุนแรงนั้น มันมาจากพระอาทิตย์ จุดไหนที่พระอาทิตย์เผาเต็มที่ ลม (อากาศ) จะร้อนจัด เมื่อลมร้อนจัด จะระเหยขึ้น ลมที่เย็นรอบๆ ข้างจะไหลเข้ามาแทน นั่นคือลมพัดแรง

ผู้เขียนเชื่อว่าแทบทุกคนที่อ่านบทความนี้ จะไม่ยอมเชื่อเรื่องเทวดาเลย เราไม่ว่ากัน แต่ทั้งที่รู้ว่าคนไม่เชื่อก็ยังกล่าวถึง เพียงเพราะต้องการเปิดเผยให้ได้อ่านกันเท่านั้น สำหรับผู้เขียนเชื่อเด็ดขาดว่า เป็นไปตามที่พระพุทธองค์ตรัสไว้แน่นอน

ขอผู้อ่านโปรดอ่านพระสูตรนี้ แล้วจงวิเคราะห์ดู ว่าความทุกข์ยากจากภัยธรรมชาติเหล่านี้ ใครเป็นคนทำ มนุษย์ทำเองทั้งหมด เริ่มแต่ผู้ปกครองบ้านเมืองเป็นต้นมา ขอให้เรานึกถึงภาษิตที่ว่า ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว พฤติกรรมของชาวมนุษย์ ทำให้อากาศเทวดาหงุดหงิด เพราะวิมานของเขาสั่นตลอดเวลา เขาเห็นแล้วว่าสาเหตุเหล่านี้มาจากมนุษย์ทั้งนั้น เขาจึงแกล้งไม่ให้ฝนตก และแกล้งให้ฝนตกหนักชนิดที่ก่อความเดือดร้อนให้แก่มนุษย์

เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ จึงขอบอกว่าภัยนี้ไม่ใช่ภัยจากธรรมชาติดอก แต่เป็นภัยจากเทวทัณฑ์ ตราบใดที่มนุษย์ไม่สำนึก และยังประพฤติอธรรมตลอดไปโดยเฉพาะผู้ปกครองบ้านเมือง ภัยนี้ก็จะรุนแรงมากขึ้น และภัยนี้เริ่มมาจากผู้ปกครองบ้านเมืองเป็นตัวนำ ตามที่พระพุทธองค์ตรัสไว้

ถ้าพวกเรากลัวเทวทัณฑ์ ขอประชาชนจงเลือกผู้ปกครองที่มีใจเป็นธรรม ไม่เอาเปรียบประชาชน มาปกครองบ้านเมืองเถิด ภัยจากเทวทัณฑ์จะหายไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image