ผู้เขียน | นฤตย์ เสกธีระ |
---|
นอกจากตัวเลข 70,000 เสียงที่เป็นตัวเลขที่พรรคการเมืองใดทำได้ถึงก็จะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 เก้าอี้แล้ว
ยังมีเรื่องของตัวเลขที่แว่วเสียงดังมาจากวงการเมืองอีกนิด
จากประมาณการตัวเลข 50 ล้านเสียงของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศ มาสู่ค่าเฉลี่ยต่อเขตเลือกตั้ง 350 เขตเลือกตั้ง
กลายเป็น 140,000 คนต่อเขต
และจาก 140,000 คนต่อเขตโดยประมาณคร่าวๆ เมื่อคำนวณว่ามีผู้มาใช้สิทธิ 70 เปอร์เซ็นต์
คาดว่าจะมีผู้มาใช้สิทธิประมาณ 98,000 คน
ดังนั้น ถ้าใครได้คะแนนเสียงประมาณ 50,000 เสียงก็แบเบอร์เข้าวิน ได้เป็น ส.ส.เขต
แต่ข้อมูลจาก กกต. มีกลุ่มการเมืองที่สนใจจัดตั้งพรรคเป็นร้อย
แสดงว่าใน 1 เขตจะมีผู้สมัครรับเลือกตั้งมากกว่า 1 พรรคเสนอตัวเข้าแข่งขัน
ยิ่งรัฐธรรมนูญกำหนดให้คะแนนเสียงในการเลือกตั้ง ส.ส.เขต เป็นจำนวน ส.ส.ที่พรรคพึงมี ยิ่งมีความจำเป็นต้องส่ง ส.ส.ลงให้ครบทุกเขต
หรือถ้าลงได้ไม่ครบทุกเขตก็ต้องลงให้มากเขตที่สุด
ดังนั้น ใน 1 เขตจึงมีตัวหารมากขึ้นจนคะเนได้ว่า ส.ส.เขตที่ชนะการเลือกตั้งหากได้ 30,000 แต้มก็หรูแล้ว
ตัวเลขคะแนนชนะการเลือกตั้ง ส.ส.แต่ละเขต จึงประมาณกันว่าอยู่ที่ 30,000 คะแนน
จากตัวเลขที่ปรากฏ เมื่อเทียบกับตัวเลข 70,000 คะแนนก่อนหน้านี้ ทำให้แบ่งคะแนนการได้มาของ ส.ส.ในสภาได้เป็น 2 ประเภท
นั่นคือ หนึ่ง ส.ส.เขต จะได้คะแนนน้อยกว่า 70,000 คะแนนแน่นอน
และหนึ่ง พรรคต้องได้คะแนนมากกว่า 70,000 คะแนน จึงจะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน
จากตัวเลขเหล่านี้ ทำให้ประเมินต่อไปได้ว่า พรรคใดได้ ส.ส.เขตมาก ย่อมมีคะแนนไม่พอที่จะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อเพิ่ม
นี่จึงเป็นที่มาว่า พรรคการเมืองขนาดใหญ่อย่างเพื่อไทย และประชาธิปัตย์ อาจไม่มี ส.ส.บัญชีรายชื่อ
ส่วนพรรคการเมืองที่มีความนิยมในบางจังหวัด อาจจะได้ ส.ส.เขต ผสมกับ ส.ส.บัญชีรายชื่อ
ขณะที่พรรคการเมืองใหม่ต้องพึ่งพาอาศัยคะแนนของพรรค
ต้องสะสมให้ได้มากกว่า 70,000 คะแนน จึงจะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน
ความซับซ้อนในการเลือกตั้งที่จะถึงคือ ไม่น่ามีพรรคการเมืองใดที่ได้คะแนนเกินครึ่ง
หากจะได้คุมสภาผู้แทนราษฎร จำเป็นต้องได้คะแนนเสียงมากกว่าครึ่ง
ดังนั้นพรรคการเมืองแต่ละพรรคต้องแสวงหาเพื่อน
หากพรรคการเมืองใหญ่จับมือกับพรรคการเมืองใหญ่แล้วคะแนนเกินครึ่งก็น่าจะจบ
แต่ถ้าพรรคการเมืองใหญ่กับพรรคการเมืองใหญ่จับมือกันไม่ได้
พรรคการเมืองใหญ่ก็ต้องจับมือกับพรรคขนาดกลาง จับมือกับพรรคการเมืองใหม่
มองมุมหนึ่งก็เป็นการบังคับให้พรรคการเมืองจับมือกัน
มองอีกมุมหนึ่งก็เป็นการทำให้พรรคการเมืองต้องวางแผนร่วมกันแต่เนิ่นๆ
วางแผนเพื่อที่จะจับมือกันหลังเลือกตั้ง
ทั้งนี้เพราะสภาผู้แทนฯหลังเลือกตั้ง ไม่น่าจะมีพรรคที่เสียงข้างมากเกินครึ่ง
มีแต่พรรคกับพรรคที่เป็นพวกกันมารวมกันถึงจะได้เสียงเกินครึ่ง
ยุคนี้จึงเป็น “พรรค(พวก)”
นั่นคือ มีพรรคแล้วยังต้องมีพวก ถึงจะได้เสียงข้างมากในสภา
นฤตย์ เสกธีระ
[email protected]