ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
---|
ใครที่ยังคิดอยู่ว่า การเสนอตัวขึ้นมาชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ของ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม จาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นเพียงละครฉากหนึ่ง เป็นเพียงการแสดงอย่างหนึ่ง
ถึงวันนี้คงต้องถูกจับปรับทัศนคติ
เพราะยิ่งใกล้เวลาเลือกตั้งหัวหน้าพรรคคนใหม่เข้ามาเท่าใด
ปฏิกิริยาที่ทั้งกองเชียร์ของสองฝ่ายแสดงต่อกัน
ยิ่งดุเดือด ยิ่งรุนแรง
2ตุลาคม นายอิสสระ สมชัย อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตแกนนำ กปปส. โพสต์ข้อความในกลุ่มไลน์ ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ ว่า
“ผมยอมรับว่าหมอวรงค์เป็นคนดี มีความสามารถ มีผลงานที่โดดเด่นคือคดีจำนำข้าว
แต่อยากให้หมอวรงค์เพิ่มพูนประสบการณ์ในอีกหลายด้าน เพราะการเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์นั้นคือการเตรียมเป็นนายกรัฐมนตรี
และวันที่ 11 พ.ย.จะมีการเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค จากนั้นอีกเพียง 3 เดือนก็จะเลือกตั้ง ส.ส. หากเปลี่ยนหัวหน้าพรรคตอนนี้คงจะมีการเปลี่ยนแปลงภายในพรรค (ตามนโยบายกล้าเปลี่ยน) มากพอสมควร
…เรามีข้อจำกัดเรื่องเงื่อนเวลา
ในทางส่วนตัวผมกับหมอวรงค์รักกัน…แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ผมเห็นว่า
สมควรที่จะให้คุณอภิสิทธิ์ ทำหน้าที่เป็นผู้นำพรรคต่อไป”
สวนกลับทันทีในวันเดียวกันจากกลุ่มเพื่อนหมอวรงค์
นายสมบัติ ยะสินธุ์ อดีต ส.ส.แม่ฮ่องสอน ตำหนินายอิสสระว่า หากจริงใจกับ นพ.วรงค์ ควรแนะนำในไลน์ส่วนตัว
ไม่ควรออกมาบลัฟกันในกลุ่มไลน์ ส.ส.ของพรรค
นายสงกรานต์ จิตสุทธิภากร อดีต ส.ส.นครสวรรค์ โพสต์ว่า ทุกคนยอมรับว่านายอภิสิทธิ์เป็นคนดี คนเก่ง
แต่ นพ.วรงค์เหมาะสมกว่า เพราะ
1.ไม่มีคนรอบตัวที่เป็นพิษ และต้องยอมรับความจริงว่าเวลามีความคิดดีๆ ไปเสนอให้นายอภิสิทธิ์ฟังที่ห้องทำงาน มักจะต้องเจอคนคนหนึ่ง
และคนคนนั้นจะไม่ยอมออกจากห้อง
2.หลังการปฏิวัติมาเกือบ 5 ปี ภายในพรรคมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีบ้าง นอกจากความขัดแย้ง เป็นก๊ก เป็นเหล่า
3.นพ.วรงค์พร้อมทำงานได้กับทุกฝ่าย (ยกเว้นแดง) โดยไม่จำเป็นต้องเป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้
สวนกลับจาก นายสามารถ มะลูลีม อดีต ส.ส.กทม. โพสต์โต้ว่าปฏิวัติมา 5 ปี คสช.ให้ทำอะไรได้บ้างครับ
หัวหน้าออกงานให้สมาชิกมาโดยตลอด โดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย
และการที่ให้หยั่งเสียงหัวหน้า ท่านก็ริเริ่ม
ไม่น่าเชื่อว่านายสงกรานต์เป็นได้ถึงเพียงนี้
การตอบโต้ดังกล่าว ไม่ได้อยู่แต่ในไลน์พรรค หากแต่ปรากฏออกในหน้าสื่อ
เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม
ร้อนถึงระดับ นายจุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ต้องออกมาให้สัมภาษณ์ว่า พรรค ปชป.เป็นประชาธิปไตยในการแสดงความคิดเห็น
การเถียงกันภายในอย่างสุดขั้ว ก็เป็นปกติของพรรค กรณีที่พรรคตัดสินใจจะบอยคอตการเลือกตั้ง ในพรรคเถียงกันยิ่งกว่านี้อีก
แต่คนที่เอาความในไปขายภายนอกนั้นน่าประณาม
วันเดียวกัน นายราเมศ รัตนะเชวง รองโฆษกพรรค ปชป. แถลงว่า นายอภิสิทธิ์มีคำสั่งแต่งตั้ง นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองหัวหน้าพรรค เป็นรักษาการแทนหัวหน้าพรรค
เนื่องจากนายอภิสิทธิ์เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรค จึงขอหยุดการปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าพรรคชั่วคราว
ส่วนข่าวสมาชิกพรรคตอบโต้กันในไลน์ ส.ส.พรรค ตนเห็นว่าการเลือกหัวหน้าพรรคครั้งนี้เป็นการต่อสู้กันแบบฉันพี่ฉันน้อง
หลังจากเลือกหัวหน้าพรรคแล้วทุกคนยังจะยืนหยัดต่อสู้กับพรรค ปชป.ต่อไป
ความเชื่อของนายราเมศจะเป็นจริงหรือไม่
เมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์การ “แตกตัว” ภายหลังการชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
ตั้งแต่ยุคของ นายอุทัย พิมพ์ใจชน นายสมัคร สุนทรเวช นายวีระ มุสิกพงศ์
กระทั่ง พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์
ใครจะกล้ารับประกัน
ว่าครั้งประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำรอยเดิม