ไม่ดีจริงอย่ามาอีกเลย โดย วีรพงษ์ รามางกูร

เหมือนระเบิดปรมาณูลงสู่พื้นเมื่อ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล หรือรู้จักกันในวงการสื่อมวลชนในชื่อเล่นของท่าน คือ หม่อมอุ๋ย เคยดำรงตำแหน่งสำคัญๆ หลายตำแหน่ง เช่น ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยคนแรก ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรองนายกรัฐมนตรี

เป็นผู้ที่สนิทสนมกันมานานตั้งแต่ปี 2510 เมื่อท่านเป็นนักศึกษาบริหารธุรกิจ ที่วิทยาลัยพาณิชย์และการเงิน มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย หรือ Wharton School of Commerce and Finance ซึ่งเป็นโรงเรียนบริหารธุรกิจชั้นนำของสหรัฐอเมริกาและของโลก เมื่อตอนเรียนหนังสือเคยเช่าห้องพักหรืออพาร์ทเมนต์อยู่ด้วยกัน หลังจากจบก็กลับมาทำงานที่ธนาคารกสิกรไทย ก่อนจะออกไปทำงานการเมืองและผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย

คุณชายปรีดิยาธร หรือหม่อมอุ๋ย เป็นคนเรียนหนังสือเก่ง ได้เกียรตินิยมดีมากจากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก่อนจะไปศึกษาต่อที่วิทยาลัยวาตั้น แห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ทั้งยังเป็นนักฟุตบอลของมหาวิทยาลัยด้วย

เมื่อหม่อมอุ๋ยเข้าร่วมรัฐบาลทหารที่มาโดยการทำรัฐประหาร พร้อมกับคุณสมหมาย ภาษี ลูกหม้อสภาพัฒน์และกระทรวงการคลัง พวกเราทุกคนก็สบายใจว่ารัฐบาลได้มือดีไปดำเนินการ ทั้งในด้านการเงินและการคลังให้กับทหาร ซึ่งไม่มีความรู้อะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจโดยส่วนรวม อย่าว่าแต่การเงินและการคลังเลย

Advertisement

เมื่อต้องออกจากตำแหน่งก็เป็นที่คลางแคลงใจของสังคมแต่ก็ได้รับทราบในฐานะที่เป็นผู้คุ้นเคยนับถือกันมานาน ก็เข้าใจและเห็นใจว่า “ไม่ได้ดีจริง ไม่ได้สะอาดจริง” อย่างที่อวดอ้างให้สังคมเข้าใจและโดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อมวลชน ทั้งๆ ที่ในอดีตเรื่อยมาไม่เคยมีรัฐบาลเผด็จการทหารรัฐบาลใดที่ “ดีจริงและสะอาดจริง” โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากต้องการจะสืบต่ออำนาจ อย่างที่เข้าใจกันโดยทั่วไปว่ารัฐบาลเผด็จการทหารชุดนี้ก็เป็นเช่นนั้น

เห็นใจและสงสารประชาชนผู้ที่คิดว่า เมื่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไม่ดีพอก็หันไปพึ่งกองทัพ เรียกร้องให้บุคลากรในกองทัพเข้ามายึดอำนาจทำการปกครองเสียเอง เพื่อจะได้ปฏิรูปการเมืองให้สะอาด ยอมเสียสิทธิเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ ยอมรับรัฐบาลเผด็จการทหารให้บริหารประเทศ หวังว่าจะใช้เวลาปัดกวาดบ้านให้สะอาดเพียง 3-6 เดือน จึงออกประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่และจัดการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ยุติธรรม free and fair แล้วก็ให้นักการเมืองเขาว่ากันไป โดยหวังว่าเมื่อมีการเลือกตั้งหลายๆ ครั้งอย่างต่อเนื่อง ประชาชนก็จะมีบทเรียนว่าในระยะแรกๆ ต้นทุนทางสังคมต่อการปกครองตนเองตามระบอบประชาธิปไตยจะสูงแต่ก็จะเข้มแข็งในระยะยาว

หม่อมอุ๋ยที่สนิทสนมกันมานานกว่า 50 ปีได้เล่าให้ฟังเมื่อ 4 ปีมาแล้ว ไม่ใช่เพิ่งได้ยินเดี๋ยวนี้ ทำให้ความหวังที่เคยตั้งไว้พังทลายลงและเป็นการยืนยันความจริงที่ว่า รัฐบาลที่ไม่อยู่ภายใต้การตรวจสอบของประชาชน จะไม่มีทางเป็นรัฐบาลของคนดีคนสะอาดไปได้ เพียงแต่เราถูกหลอก ถูกปิดบังไม่ให้รู้และไม่มีทางรู้ เพราะสถาบันและองค์กรอิสระหลายแห่งก็มาจากการแต่งตั้งของรัฐบาลนี้ จึงต้องเกรงใจรัฐบาลเป็นธรรมดา

Advertisement

ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าระบอบประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้งจะได้คนดีและคนสะอาดมาบริหารบ้านเมือง แต่ระบอบประชาธิปไตยจะมีระบบตรวจสอบ มีการถ่วงดุลกัน check and balance ระบบตรวจสอบได้ทำงานจริง ตั้งคำถามได้และต้องตอบให้ได้ถ้ามีข้อสงสัย แต่รัฐบาลเผด็จการทหารไม่จำเป็นต้องตอบคำถาม ถ้าถามมากๆ ก็อารมณ์เสียตอบกลับด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ด้วยกิริยาวาจาที่ก้าวร้าว เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับอนุชนรุ่นต่อไป ไม่ควรเอาเป็นตัวอย่าง

ที่หลายๆ คนทนไม่ได้ก็คือ รายการวันศุกร์ที่ออกมาทำตัวเป็น “เจ้านาย” พูดตำหนิติเตียนสั่งสอนประชาชนคนทั่วไปอยู่ฝ่ายเดียว ทำตัวสูงกว่าประชาชน ทำตัวเป็นนาย มองเห็นประชาชนเป็นบ่าว ทุกวันศุกร์จึงมีชั่วโมงประหยัดไฟฟ้า ซึ่งเป็นที่ทราบและเป็นที่ขบขันกันโดยทั่วไป ยังไม่เคยเห็นผู้นำรัฐบาลทหารที่ผ่านๆ มาดูถูกประชาชนอย่างที่เห็นนี้ และดูจะหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อมีท่าทีว่าจะสืบทอดอำนาจออกไปอีก 4 ปีหลังการเลือกตั้ง หลายคนรู้สึกใจหาย เพราะ 4-5 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยไม่ได้ไปทางไหนเลย โครงการพัฒนาต่างๆ ก็หยุดชะงัก มีเพียงคำพูดที่เป็นนามธรรม แต่ยังไม่มีสิ่งใดเป็นรูปธรรมให้เห็นเลย การเจรจากับประเทศคู่ค้าต้องหยุด เพราะเขาไม่ต้อนรับผู้นำที่มาจากการปฏิวัติรัฐประหาร

ที่น่าเกลียดก็คือการยังไม่ยอมประกาศวันเลือกตั้งที่แน่นอน นอกจากเข้าใจกันเอาเองว่าจะเป็นวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ขณะที่พรรคการเมืองที่สนับสนุนฝ่ายเผด็จการสามารถทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อหาเสียงได้ เป็นการเอาเปรียบฝ่ายที่สนับสนุนประชาธิปไตยมาโดยตลอด ที่สำคัญจนบัดนี้ก็ยังไม่ประกาศวันเลือกตั้งให้เป็นที่แน่นอน เมื่อนักข่าวไปถามเรื่องนี้ก็ทำเป็นโมโหโกรธาแล้วก็ไม่ตอบ

ถ้าหากจะประกาศอย่างตรงไปตรงมาว่า ตนจะยอมรับหรือไม่ยอมรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หากมีคนเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรี เรื่องเสียงข้างมากจากที่ประชุมรัฐสภาก็เป็นเรื่องไม่ยาก เพราะตนมีสมาชิกวุฒิสภา 250 คนที่พร้อมจะยกมือให้อยู่แล้ว แต่จะบริหารราชการแผ่นดินได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ ถ้าคะแนนเสียงในสภาผู้แทนราษฎรได้ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง

มื่อหม่อมอุ๋ยออกมาติงอย่างตรงไปตรงมา มีข้อมูลสนับสนุนข้อเขียน ผู้ที่หม่อมอุ๋ยกล่าวถึงก็ควรจะออกมาชี้แจงว่ามีส่วนใดจริงและส่วนใดไม่จริง เพราะเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน ถ้าไม่ออกมาชี้แจงก็เท่ากับยอมรับว่าหม่อมอุ๋ยพูดจริง

ทันทีที่ข้อเขียนของหม่อมอุ๋ยออกสู่สาธารณชน สื่อมวลชนหลักทั้งในเนื้อข่าวและบทวิเคราะห์ต่างก็ออกมาแสดงความเห็นและวิพากษ์วิจารณ์ อันเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่ารัฐบาลกำลังอยู่ในสภาวะ “ขาลง” หากยังคิดจะสืบต่ออำนาจต่อไปโดยการกระทำที่ไม่ชอบธรรม หรือกระทำการที่เป็นการเอาเปรียบคู่ต่อสู้ต่อไป แล้วยังทำตัวเป็นศรีธนญชัย ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ซึ่งไม่ใช่วิสัยของ “ชายชาติทหาร” อย่างที่หม่อมอุ๋ยกล่าว

ปฏิกิริยาของผู้คนเท่าที่ได้พบได้คุย ต่างก็มีความเห็นว่าหม่อมอุ๋ย หรือม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ซึ่งเป็นนักเรียนโรงเรียนเซ็นต์คาเบรียล เป็นเพื่อนฝูงที่สนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็กกับคณะรัฐประหารชุดนี้ ย่อมเตือนไปด้วยความหวังดี ต่อทั้งตัวเองและประเทศชาติและประชาชน

ที่จะไม่สืบทอดอำนาจต่อไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image