ตรวจ อุณหภูมิ เวที ปราศรัย การเมือง คนอยาก เลือกตั้ง

ขณะที่ คสช.และรัฐบาลให้ความสนใจไปยังการชุมนุมของ “กลุ่มอยากเลือกตั้ง” ไม่ว่าที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ไม่ว่าที่มหาวิทยาลัยบูรพา ไม่ว่าที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ไม่ว่าที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

กระทั่งมองข้ามเวที “ปราศรัย” ของ “พรรคการเมือง”

ทั้งๆ ที่ทุกการชุมนุมของ “คนอยากเลือกตั้ง” ดำเนินไปอย่างที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สรุปอย่างรวบรัดว่า

“ไม่เกินร้อย”

Advertisement

แล้วทำไมต้องหันไปพึ่งบริการของ “นกหวีด” ด้วยการจัดตั้ง “กลุ่มสามัคคีก่อนเลือกตั้ง” ขึ้นมาเพื่อนำไปสู่ “ม็อบชนม็อบ” อย่างที่เห็นกันหน้าร้านอาหารศรแดง บนถนนราชดำเนิน

แล้วทำไมต้องก่อปฏิบัติการ “การข่าว” หรือ “IO” อย่างหนักหน่วง

ไม่ว่า เลขาธิการ คสช. ไม่ว่าโฆษก คสช. ไม่ว่าโฆษกกองทัพไทย ไม่ว่าโฆษกกระทรวงกลาโหม ต่างออกโรงอย่างพร้อมเพรียงกัน

Advertisement

เหมือนกับเวที “ปราศรัย” ของ “พรรคการเมือง” จะมิได้เป็นเรื่องสำคัญ

ไม่ว่าจะมองในเชิง “ปริมาณ” คนเข้าร่วม ไม่ว่าจะมองในเชิง “เนื้อหา” การปราศรัย มีความร้อนแรงมากยิ่งกว่าเวทีเล็กๆ ของ “กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง” หลายเท่า

เปรียบแล้วเหมือน “เด็ก” กับ “ผู้ใหญ่” ได้เลย

ปริมาณของผู้ที่เข้าร่วม “กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง” ไม่ว่าจะที่ กทม. ไม่ว่าจะที่บางแสน ไม่ว่าจะที่ขอนแก่น ไม่ว่าจะที่เชียงใหม่

ฟันธงได้เลยว่า “หลักร้อย”

ขณะที่เวทีปราศรัย ไม่ว่าจะที่อุดรธานี หนองคาย หนองบัวลำภู ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ อุบลราชธานี หรือบางแค บางบอน

ทะยานจาก “หลักพัน” ไปหลักหมื่น และ “หลายหมื่น”

บางแห่งเหมือนกับเป็นการชุมนุมของ “คนเสื้อแดง” ไปโดยพื้นฐาน เพราะล้วนใส่เสื้อยืดสีแดงเข้ามาร่วมด้วยความคึกคัก

ยิ่งกว่านั้นในทาง “เนื้อหา” ยิ่งมากด้วยความเข้มข้น

ฟ้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รับรู้เลยก็ได้ว่าเวทีเหล่านั้นหากมิใช่ของ พรรคเพื่อไทย ก็เป็นของพรรคไทยรักษาชาติ และพรรคเพื่อชาติ

และมีน้องใหม่ไฟแรงตามมาคือ เวทีของพรรคอนาคตใหม่

นักพูดฝีปากกล้าเดินแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่งขึ้นเวที มีตั้งแต่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ไปยัง นายจาตุรนต์ ฉายแสง ตั้งแต่ นายอดิศร เพียงเกษ ไปยัง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และ นายจตุพร พรหมพันธุ์

เป้าหมาย 1 ย่อมเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป้าหมาย 1 ย่อมเป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

รายละเอียดล้วนสะท้อนให้เห็นความล้มเหลวของการบริหารตลอด 5 ปีนับแต่รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา

หากไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น ก็ต้องเลือกพรรคของพวกเขา

นั่นก็คือ ต้องเลือกพรรคเพื่อไทย พรรคไทยรักษาชาติ พรรคประชาชาติ พรรคเพื่อชาติ และพ่วงพรรคอนาคตใหม่เข้าไปด้วยอีกพรรค

เห็นหรือยังว่าเวที “ปราศรัย” ร้อนแรง แหลมคมเพียงใด

มองด้วยบรรทัดฐานประชาธิปไตย การปราศรัยเช่นนี้เป็นเรื่องธรรมดาอย่างปกติยิ่ง ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าพรรคภูมิใจไทย ไม่ว่าพรรคชาติไทยพัฒนา

หากขึ้น “เวที” ก็ย่อมจะพูดไปในทิศทางเดียวกันนี้

เมื่อผนวกรวมเอามวลชนที่แวดล้อมพรรคเพื่อไทย พรรคไทยรักษาชาติ พรรคอนาคตใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ ในขอบเขตทั่วประเทศเข้าด้วยกัน

นี่ต่างหากคือปลายหอก “คนอยากเลือกตั้ง” ตัวจริง เสียงจริง 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image