พลันที่สาส์นจากสี จิ้นผิง เลขาธิการใหญ่พรรคถึงชาวไต้หวัน อันเกี่ยวกับ “มาตุภูมิต้องเป็นเอกภาพ” ก็มีนักการเมืองที่ใฝ่ฝันเอกราชรุ่นเฮวี่เวต 4 คน ออกจดหมายเปิดผนึก โดยเรียกร้องให้ “ฉ้าย อิงเหวิน” ผู้นำสูงสุดไต้หวันล้มเลิกความตั้งใจเพื่อป้องกันแชมป์อยู่ต่ออีกหนึ่งสมัย ทั้งนี้ บังคับให้ส่งมอบอำนาจคืน และถอยไปอยู่แนวหลัง
ประเด็นที่พวกเขาไม่พอใจมากที่สุดคือ งานผลักดันไต้หวันให้เป็นเอกราชไม่เข้มแข็งพอ และถูกกล่าวหาว่าเป็นวิธีทำงานที่เปี่ยมด้วยภยาคติ จึงไม่สัมฤทธิผล
พวกเขาอ้างว่า ปัจจุบันมาตรการที่สหรัฐมีต่อสองฝั่งช่องแคบได้มีการเปลี่ยนแปลง ควรต้องใช้โอกาสเช่นนี้ให้เป็นประโยชน์เท่าที่พึงมีพึงได้
พินิจจากเหตุการณ์ เป็นที่ประจักษ์ว่า แรงกดดันทั้งประเด็น “เอกภาพ” และ “เอกราช” ของสองฝั่งช่องแคบ มีแนวโน้มสูงขึ้นโดยพลัน
อีก 1 ปีข้างหน้าที่เหลืออยู่ของฉ้าย อิงเหวิน จะแก้ไขปัญหาอย่างไร เป็นเรื่องที่ยาก เพราะในไต้หวันมีทั้งคนที่ต้องการเอกภาพและเอกราชครือกัน
กรณีละม้ายกับปัญหา Brexit ของสหราชอาณาจักร เพราะมีทั้งต้องการแยกและรวม
ความกังวลที่สถิตอยู่ในดวงหทัยของคนไต้หวันจึงไม่ต่างไปจากคนอังกฤษ
แต่ประเด็นที่น่าเป็นห่วงก็คือ ปัญหาที่เกิดขึ้นเข้าทางสหรัฐ เพราะมีการเคลื่อนไหวทางการทหาร สถานการณ์ที่ช่องแคบไต้หวันอยู่ในสภาพพร้อมรบ ภยันตรายกระชับเข้ามาทุกขณะ
สถานการณ์ช่องแคบไต้หวันเปลี่ยนแปลง นโยบายฉ้าย อิงเหวิน แข็งก้าวร้าวฉาน
คำปราศรัยของฉ้าย อิงเหวิน ในวันขึ้นปีใหม่ 2019 เด่นชัดยิ่งในถ้อยคำ “ประเทศจีนต้องคำนึงถึงความอยู่รอดของ ‘ประเทศสาธารณรัฐจีน’ (ไต้หวัน) ควรต้องเคารพเสรีภาพของประชากร 23 ล้านคน และทำการเจรจาด้วยสันติวิธีระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล”
ในวันเดียวกันที่ “สี จิ้นผิง” ส่งสาส์นถึงชาวไต้หวัน “ฉ้าย อิงเหวิน” ก็ได้ตอบปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใยว่า “ไต้หวันไม่ยอมรับการปกครองหนึ่งประเทศสองระบบและคนไต้หวันส่วนใหญ่ก็คัดค้าน ตลอดจนปฏิเสธข้อเสนอใดๆ ของสี จิ้นผิง
ปฏิกิริยาของเธอถือเป็นพฤติกรรมที่รุนแรงที่สุดตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง
เด่นชัดยิ่งว่า เกิดจากเกรงกลัวการคำรามของนักการเมืองขวาจัดไต้หวัน 4 คน
ก็เพราะเธอกลัวจะสูญเสียอำนาจ จึงกล้าทำทุกอย่างเพื่อจะครองอำนาจอีกหนึ่งสมัย โดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสมหรือถูกผิดชั่วดี ยกเว้น “การปีนหลังคาตอกตะปู” เท่านั้นที่ไม่ทำ
แม้กระนั้นเธอก็เสื่อมศักดิ์ศรี และดูไม่มีราคา
พฤติกรรมที่แข็งกร้าวของเธอน่าจะเกิดจากสถานการณ์โลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์จีนกับสหรัฐที่แปรเปลี่ยนไป
1 ปีที่ผ่านมา แผนสกัดจีนของสหรัฐ ได้ผ่านกฎหมายกลาโหม 2018 และกฎหมายท่องเที่ยวไต้หวัน และก่อนปีใหม่ 2019 โดนัลด์ ทรัมป์ ได้เซ็นกฎหมายที่เรียกว่า “Asia Reassurance Initiative Act of 2018” อีกหนึ่งฉบับ
กอปรกับ 1 ปีที่ผ่านมา ทหารนาวิกโยธินของจีนได้รายล้อมช่องแคบไต้หวัน การบริหารงานของพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าไม่ประสบความสำเร็จ การเลือกตั้งเมื่อพฤศจิกายน พ่ายแพ้หมดรูป ล้วนเป็นเหตุให้นโยบายของ “ฉ้าย อิงเหวิน” เปลี่ยนจากนิ่มนวลเป็นแข็งกร้าว
แต่ในสายตาของฝ่ายขวาเห็นว่า มาตรการของนางยังไม่แข็งพอ การขับไล่จึงเกิดขึ้น
ฉะนั้น จดหมายเปิดผนึกจึงระบุชื่อพันธมิตรนายหนึ่งเป็นผู้เข้าชิงตำแหน่งผู้นำสูงสุดในปี 2020 แต่ก็กลายเป็นการสวนกระแสของสมาชิกรุ่นหนุ่มของพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า จึงออกจดหมายเปิดผนึกทำการคัดค้าน เพื่อค้ำจุนเก้าอี้ฉ้าย อิงเหวิน โดยให้ความเห็นว่า ในระบอบประชาธิปไตยไม่มีความจำเป็นต้องทำการขับไล่
(ตำแหน่งผู้นำสูงสุดของไต้หวัน อุปโลกน์กันเองว่าเป็นประธานาธิบดี แต่ความจริง ไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน ไม่มีอธิปไตย มิใช่ประเทศ จึงมีประธานาธิบดีมิได้)
หนึ่งในสี่ของพวกขวาจัดที่เรียกร้องเอกราชได้บอกกับนักข่าวว่า “ฉ้ายไม่มีความกล้าหาญชาญชัย เหตุใดจึงไม่กล้าอิงสหรัฐ อย่างไรก็ตาม สหรัฐไม่มารวบไต้หวันเข้าเป็นหนึ่งเดียว สหรัฐมีแต่มาช่วยไต้หวัน ไม่มีวันที่จะมาทำลายไต้หวัน”
เขาอธิบายว่า “สหรัฐได้เปลี่ยนนโยบายต่อแผ่นดินใหญ่และไต้หวัน โดยเฉพาะมาตรการที่มีต่อไต้หวันล้วนมีประโยชน์ ไม่ควรสูญเสียโอกาส หากมิฉะนั้น ถ้าปี 2020 โดนัลด์ ทรัมป์ สอบตก พรรคกั๋วหมินตั่งของไต้หวันชนะเลือกตั้ง ซึ่งเป็นพรรค “โปรไชนีส” กอปรกับอีก 15 มณฑลเมืองล้วนเป็นผู้ใช้สิทธิที่อยู่ข้างจีนแผ่นดินใหญ่ รวมพลังเข้าด้วยกัน และต้องเจอกับมาตรการต่างๆ ของจีน ทั้งไม้นวมและไม้แข็ง แล้วจะทำอย่างไร”
ประเด็นที่เขาพูดนั้นเป็นเพียงจินตนาการเท่านั้น และถ้าเป็นจริงก็เชื่อว่า ผู้นำของประเทศจีนไม่ก้าวร้าวทำสามหาวต่อประชาชนหรือชี้หน้าตวาดนักข่าวแต่อย่างใด
แม้เป็นระบอบสังคมนิยม แต่ประชาชนจีนอยู่ดีมีสุข ไม่ต้องร้องไห้น้ำตาเช็ดหัวเข่า
ต้องยอมรับว่า เป็นยามที่ขิงก็ราข่าก็แรง ทั้งแผ่นดินใหญ่และไต้หวัน ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน
ฝ่ายหนึ่งกำหนดโรดแมปการรวมตัวเป็นเอกภาพ อีกฝ่ายหนึ่งก็เร่งเร้าความเป็นเอกราช
เป็นวิกฤตที่ฉ้ายต้องหาทางออก เวลาที่เหลืออยู่มีเพียง 1 ปีเศษ ตัวเลือกมีจำกัด ส่วนสหรัฐก็ฉวยโอกาสเพิ่มดีกรีการระราน อาจเป็นเหตุให้ช่องแคบไต้หวันกลายเป็นสมรภูมิ
และน่าเชื่อว่าเป็นวิกฤตที่รุนแรงที่สุดหลังจากเหตุการณ์กลางทศวรรษ 90
ย้อนมองอดีตก่อนที่พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าขึ้นบริหารประเทศ “หม่า อิงจิ่ว” พรรคกั๋วหมินตั่ง ได้บริหารประเทศมาเป็นเวลา 8 ปี เบื้องต้นความสัมพันธไมตรีมีความก้าวหน้าไปตามลำดับ ไม่ว่าการยอมรับ “ฉันทามติ 92” ไม่ว่าจะเป็นความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ตลอดจนการปะทะกันทางการทหารก็ยุติลง รวมทั้งไต้หวันได้เข้าร่วมองค์กรระดับสากลและกิจกรรมต่างๆ เป็นไปด้วยความราบรื่น
และที่เป็นไฮไลต์คือการพบกันระหว่าง “สี จิ้นผิงกับหม่า อิงจิ่ว” ผู้นำสูงสุดของสองประเทศในปริโยสาน อันถือเป็นคุณูปการของ “หม่า อิงจิ่ว” ในสมัยที่ดำรงตำแหน่ง
หม่า อิงจิ่ว ยังแสดงเจตนาในการที่จะรวมตัวเป็นเอกภาพกับมาตุภูมิในเชิงสัญลักษณ์ เช่น
การประชุมการรวมตัวครั้งที่ 2 ไต้หวันได้ส่งสัญญาณชัดเจน ขณะที่ “เฉินอิ๋นหลิน” ผู้แทนจีนแผ่นดินใหญ่ได้เข้าเยี่ยมคารวะ “หม่า อิงจิ่ว” ผู้นำสูงสุดไต้หวัน ก็ได้รับมอบเครื่องลายครามหนึ่งชิ้น ซึ่งเป็นรูปแจกันมีภาพวาดดอกไม้ประจำถิ่นของไต้หวัน ถิ่นกำเนิดของดอกไม้คือ ประเทศจีน การมอบเครื่อง “ลายครามหนึ่งชิ้น” มีความหมายล้ำลึก เพราะว่า “ลายคราม” ฝรั่งเรียกว่า “China” ลายครามหนึ่งชิ้นก็คือ “One China” นั่นเอง ซึ่งเป็นการสื่อความหมายอันเกี่ยวกับเรื่องยอมรับ “จีนเดียว” งานนี้ “หม่า อิงจิ่ว”
ฟอร์มสดงดงาม
นอกจากนี้ การประชุมเพียง 3 ครั้ง ผู้แทนทั้ง 2 ฝั่งได้ลงนามในข้อตกลงถึง 9 ฉบับ
1.เครื่องบินเหมาลำในวันหยุดสุดสัปดาห์ 2.คนจีนแผ่นดินใหญ่ไปท่องเที่ยวไต้หวัน 3.การขนส่งสินค้าทางอากาศ 4.การขนส่งสินค้าทางเรือ 5.กิจการไปรษณีย์ 6.ความปลอดภัยของอาหาร 7.ความร่วมมือทางนิติธรรมและร่วมกันกำจัดผู้ก่อการร้าย 8.ความร่วมมือด้านการเงินการคลัง 9.สัญญาประจำต่อเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าทางอากาศ
แต่น่าเสียดายที่พรรคกั๋วหมินตั่งแพ้เลือกตั้ง 2016 “ฉ้าย อิงเหวิน” พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าขึ้นบริหารประเทศ นโยบายของเธอคือ “เอกราชไต้หวัน” เป็นพฤติการณ์ตีปลาหน้าไซ
ปัญหาช่องแคบไต้หวันเป็นสงครามภายในของจีน ตั้งแต่มีการสถาปนาประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อ 1 ตุลาคม 1949 นักการเมืองที่พ่ายแพ้จากการสู้รบได้หลบหนีไปยังเกาะไต้หวัน ต่อมารัฐบาลสหรัฐ ใช้อาวุธเป็นกำลังสนับสนุนการแบ่งแยกเกาะไต้หวันโดยปราศจากเหตุผลทางภูมิศาสตร์ สหรัฐได้ให้ความช่วยเหลือไต้หวันมาตลอด โดยขายอาวุธยุทโธปกรณ์ให้แก่ไต้หวัน และเป็นคู่ค้าอาวุธรายใหญ่ของไต้หวัน
ล่าสุดสหรัฐออกกฎหมาย “Asia Reassurance Initiative Act of 2018” ท่ามกลางภาวะสองฝั่งช่องแคบศรศิลป์ไม่กินกัน เสมือนเอาเกลือทาแผล
กรณีถือเป็นการจุดไฟเผาคนจีนทั้ง 2 ฝั่งช่องแคบ
คนไต้หวันส่วนหนึ่งก็ไม่ฉลาดพอ จิตสำนึกบกพร่องละอ่อนต่อความรู้ทางสายเลือด เพราะจีนแผ่นดินใหญ่และจีนไต้หวันก็คือจีนเดียวกัน เกิดจากบรรพบุรุษเดียวกัน เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ รักกันไว้เถิด ดีกว่าไปเกาะชายกางเกงของฝรั่ง ซึ่งเป็นการเสียศักดิ์ศรี และดูไร้ค่า
กฎหมายฉบับล่าสุด เป็นกฎหมายว่าด้วยการขายอาวุธให้แก่ไต้หวัน และความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการระหว่างข้าราชการสหรัฐกับไต้หวัน ตลอดจนการแลกเปลี่ยนทางการทหาร เป็นต้น
กรณีถือว่ารัฐบาลสหรัฐกระทำละเมิด เพราะว่าเป็นการฝ่าฝืนแถลงการณ์ร่วมแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตจีนกับสหรัฐเมื่อ 1 มกราคม 1979 โดยมีสาระสำคัญว่า
“ทั้งสองประเทศต้องเคารพอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนซึ่งกัน สหรัฐยอมรับนโยบายจีนเดียว ไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน และไม่แทรกแซงกิจการภายในซึ่งกัน”
ฉะนั้น การขายอาวุธให้แก่ไต้หวันกระทำมิได้ เพราะเป็นนิติกรรมสัญญารัฐต่อรัฐ ไต้หวันไม่มีอธิปไตย จึงไม่มีสิทธิทำนิติกรรมสัญญารัฐต่อรัฐ
กรณีถือว่าสหรัฐกระทำละเมิด
นี่คือปัญหาใหญ่ การที่ประเทศจีนจะทำงานเอกภาพชิ้นนี้ให้สำเร็จได้ จึงควรต้องสะสางประเด็นกฎหมายกับสหรัฐให้เรียบร้อยก่อน หากมิฉะนั้น คงจะลำบาก เหตุผลคือ
สหรัฐมีความจำเป็นต้องใช้ “บริการไต้หวัน” เพื่อทำการสกัดความเจริญเติบโตของจีน
ก็เพราะการเสพติดอำนาจ
ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช