การเมืองปิน็อกกิโอ… : โดย เฉลิมพล พลมุข

ชีวิตของประชาชนหรือผู้คนที่เกิดลืมตามาดูโลกได้อยู่รอดในประเทศเมืองต่างๆ ทั่วโลกย่อมต้องอยู่ในการบริหารจัดการของบ้านเมืองโดยมีรัฐหรือรัฐบาลที่มีผู้แทนของราษฎรได้สมัครหรืออาสาเข้าไปบริหารประเทศให้มีความเจริญรุ่งเรือง ในโลกของความไร้พรมแดนซึ่งมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยของเราท่าน ทำให้ได้รับรู้ถึงการบริหารกิจการบ้านเมืองของแต่ละประเทศที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว

นักการเมืองคือบุคคลผู้มีอาชีพหนึ่งที่ต้องเสียสละเวลา ร่างกาย จิตใจ ความรู้ความสามารถ ความเฉลียวฉลาด อาจจะรวมไปถึงวิสัยทัศน์ในการมองโลกและชีวิตที่ต้องทำงานให้กับประเทศชาติ สิ่งหนึ่งที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์โลกของเราก็จะมีนักการเมืองอยู่ในหลากหลายประเภท ทั้งนักการเมืองที่มีเจตนาแฝงเพื่อเข้าไปทำการทุจริต คอร์รัปชั่น หรือทำให้บ้านเมืองได้รับความเสียหายจากเงินที่เป็นการเสียภาษีของประชาชน นักการเมืองที่ต้องการยศ อำนาจ ตำแหน่งเพื่อประดับตระกูลครอบครัว อาจจะรวมไปถึงนักการเมืองมืออาชีพที่มีอุดมการณ์ที่ต้องทำงานการเมืองเพื่อให้ประเทศของตนมีความเจริญก้าวหน้าเยี่ยงอารยประเทศที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นประชาธิปไตย

ปิน็อกกิโอ (Pinocchio) เป็นวรรณกรรมเยาวชนอิตาเลียนซึ่งเป็นผลงานของ การ์โล กอลโลดี (Carlo Collodi) ที่เป็นนักประพันธ์ซึ่งได้รับการตีพิมพ์เมื่อ ค.ศ.1880 หรือเมื่อ 139 ปีที่ผ่านมาแล้ว ปิน็อกกิโอเป็นภาษาอิตาเลียน (Pino) ความหมายคือต้นสน (Occhio) คือตาหรือดวงตา เรื่องดังกล่าวได้เป็นเรื่องการอ่านที่คลาสสิกสำหรับเด็ก ได้มีการแปลเป็นภาษาต่างๆ เผยแพร่ไปทั่วโลกและได้นำเรื่องราวดังกล่าวไปสร้างเป็นหนังหรือภาพยนตร์มากกว่า 20 ครั้งที่เราท่านรู้จักกันก็คือ วอลต์ดิสนีย์ (Walt Disney) ละครโทรทัศน์ในประเทศเกาหลีใต้เรื่อง ปิน็อกกิโอ รักนี้หัวใจไม่โกหก ได้ออกอากาศในสถานีโทรทัศน์เอสบีเอสเมื่อปี ค.ศ.2014 ผู้คนในเกาหลีใต้ชอบเรื่องดังกล่าวเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์…

วรรณกรรมปิน็อกกิโอนำเสนอเรื่องราวของการผจญภัยของหุ่นไม้ที่มีชีวิตกับพ่อที่เป็นคนยากจน ลักษณะเด่นที่เป็นลักษณะพิเศษของปิน็อกกิโอก็คือ เมื่อพูดโกหกหรือมีเจตนาปกปิดเรื่องของความจริง จมูกของเขาก็จะยาวขึ้น นักเขียนกอลโลดีได้เขียนขึ้นครั้งแรกด้วยเจตนาที่ไม่ใช่เรื่องของเด็กๆ ในเรื่องเดิมแท้จริงตอนสุดท้ายปิน็อกกิโอถูกทำโทษด้วยการแขวนคอให้ตายด้วยความผิดที่นับครั้งมิถ้วน แต่ก็มีการแก้ไขใหม่ในตอนถัดมาก็คือ ได้แก้ให้หุ่นกระบอกนั้นกลายเป็นเด็กที่มีชีวิตจริงๆ …(th.m.wikipedia.org)

Advertisement

เราท่านได้ติดตามวรรณกรรมในเรื่องดังกล่าวที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งร้อยปีเศษที่แล้วถึงมุมมองการใช้ชีวิตทั้งสัญชาตญาณของมนุษย์ที่ต้องการอิสระเสรีภาพ การยอมรับจากผู้คนทั่วไปของสังคม ประเพณีวัฒนธรรมที่เคร่งครัดเอาจริงเอาจัง รวมถึงการใช้ชีวิตในสังคมที่ไม่อาจจะหาเหตุผลใดมาอธิบายได้ ผู้เขียนใคร่ขอนำเรื่องย่อดังกล่าวมาเผื่อว่าท่านผู้อ่านบางท่านอาจจะมิได้ติดตามวรรณกรรมดังกล่าว

“ครั้งหนึ่งในประเทศอิตาลี มีชายชราคนหนึ่งเป็นช่างแกะสลักไม้ มีชีวิตอยู่คนเดียวไม่มีลูก ด้วยความเหงาที่อยากมีเพื่อนไว้พูดคุยจึงแกะสลักหุ่นไม้แล้วตั้งชื่อว่า ปิน็อกกิโอ ในคืนวันหนึ่งมีนางฟ้าใจดีอยากให้ชายชรามีความสุขจึงได้เสกเป่าให้หุ่นไม้มีชีวิตและบอกว่าเขาจะเหมือนมนุษย์เมื่อเป็นคนดี ขณะนั้นมีแมวและหมาจิ้งจอกได้นำหุ่นไม้ไปขายให้กับเจ้าของโรงละครหุ่นกระบอกและถูกบังคับให้ทำการแสดงจนเหน็ดเหนื่อย จนกระทั่งนางฟ้าสีน้ำเงินปรากฏกาย ปิน็อกกิโอได้เห็นจึงขอให้นางฟ้าช่วย โดยบอกว่าถูกจับตัวมา ขณะนั้นเองจมูกของปิน็อกกิโอก็ยาวขึ้นเพราะพูดโกหกและถูกนางฟ้าเตือนให้พูดถึงความจริง…”

ผู้เขียนเข้าใจว่าวรรณกรรมเรื่องดังกล่าวจะจัดเป็นนิทาน มีการร้องเล่นเต้นรำทำท่า จะอยู่ในการเรียนการสอนในระดับปฐมวัยหรือประถมศึกษาของเมืองไทยอยู่ทั่วประเทศ หลักการสำคัญของเรื่องดังกล่าวก็คือการพูดความจริง เรื่องจริง ซึ่งเป็นคุณธรรมระดับพื้นฐานของมนุษย์

Advertisement

สำหรับเรื่องราวของไทยเราที่สอนเกี่ยวกับเรื่องของความจริงมีอยู่ในหลากหลายเรื่อง อาทิ พันท้ายนรสิงห์ เด็กเลี้ยงแกะ เศรษฐีขี้เหนียว ไม้เท้าดีกว่าลูกเต้าลืมคุณ หรือแม้กระทั่งคำพูดบางอย่างที่ว่าพูดจริงเป็นสิ่งไม่ตาย…

การเมืองในสังคมไทยเราได้ผ่านร้อนหนาวมาในหลายยุคสมัยนับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสยามประเทศมาเป็นประเทศในสมัยของรัชกาลที่ 7 พ.ศ.2475-รัชกาลปัจจุบัน พ.ศ.2562 ช่วง 87 ปีที่ผ่านมาคนไทยเราทุกภาคส่วนได้รับรู้ได้เห็นถึงวิกฤตของบ้านเมืองตั้งแต่ 14 ตุลาคม 2516 ที่มีจำนวนนักศึกษาออกมาประท้วงต่อต้านรัฐบาลจนกระทั่งมีนักศึกษาได้เสียชีวิต พิการ บางคนต้องหลบหนีเข้าป่าและไปลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พ.ศ.2535 ที่มีความขัดแย้งกันของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง จนกระทั่งในหลวงรัชกาลที่ 9 พระองค์ท่านได้ให้สติถึงความเสียหายของประเทศชาติบ้านเมืองที่คนไทยขัดแย้ง ทำร้ายฆ่ากันเอง หลังจากนั้นไม่นานก็มีเหตุการณ์ที่ประท้วงปิดเมืองปิดประเทศ เผาทำลายสถานที่ราชการจนเป็นเหตุให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้นเข้าทำการปฏิวัติรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557

คำพูดหรือวาทกรรมของเหล่านักการเมืองในอดีตหรือปัจจุบันหลายคนก็คงวนเวียนอยู่กับปิน็อกกิโอ ก็คือการพูดความจริงเป็นบางส่วน และปกปิดเรื่องที่ไม่จริงไว้ หากใครได้มีชีวิตที่ผ่านมาเมื่อ 50 ปีที่แล้วคงจะได้ยินได้ฟังเพลง “ผู้ใหญ่ลี” เปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามการค้าบกพร่องอย่างสุจริต ไม่ได้ทำผิดกฎหมายเพียงแต่ว่าทำในสิ่งที่กฎหมายห้ามไว้ จะตายคาสนามประชาธิปไตย ไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูถาวรในหมู่นักการเมือง หรือนักการเมืองบางคนที่พูดแล้วร้องไห้…

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้กล่าวตอนหนึ่งในการเป็นประธานมอบรางวัลสุดยอดวัฒนธรรมสร้างสรรค์แห่งปี 2561 ที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2561 “อยากเชิญชวนทุกคนมาสร้างสรรค์ความดีให้ประเทศไทย แต่ถ้ายังพูดจาให้ร้ายกันไปมา จะไม่เกิดประโยชน์อะไรทั้งสิ้น อาจจะเกิดกับบางคนบางกลุ่ม แต่ไม่ได้เกิดประโยชน์กับประเทศ ต้องได้รับความเชื่อมั่นและเชื่อถือจากโลกภายนอก และปี 2562 จะเป็นประธานอาเซียนจะเป็นรัฐบาลไหนยังไม่ทราบ แต่ต้องเตรียมการตั้งแต่วันนี้ เป็นเจ้าภาพเจ้าบ้านที่ดี ที่สำคัญจะเชื้อชาติใด ศาสนาใดต้องอยู่ร่วมกันให้ได้ มีความขัดแย้งการปฏิรูปประเทศมันไม่ง่ายนัก จำเป็นต้องใช้กฎหมายหลายตัว สิ่งเหล่านี้ต้องสร้างความปรองดอง สมานฉันท์ให้ได้ ไม่ใช่รัฐบาลสั่งการไม่ได้ ถ้าทุกคนไม่เห็นชอบร่วมกันก็มีกลไกประชาธิปไตย ไปว่ากันมา เพียงแต่ขอให้สร้างสรรค์สิ่งดีๆ ไม่ทำเพื่อประโยชน์ตนเอง สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ยึดมั่นมาตลอด และคิดว่าทุกคนน่ายอมรับในสิ่งที่พูดทั้งหมดในวันนี้ ประชาธิปไตยที่ไม่เคารพกฎหมายถือเป็นประชาธิปไตยที่ใช้ไม่ได้จริง…” (มติชนรายวัน 28 ธันวาคม 2561 หน้า 10)

สังคมไทยเราในวันนี้มีหลากหลายคำถามทั้งจากเด็กเยาวชนยุคใหม่ที่หลายคนดูเสมือนว่าจะไม่สนใจเรื่องของการเมืองซึ่ง Youth participation in national parliaments 2016 พบว่าเมืองไทยเราอยู่ในลำดับสุดท้ายที่ร่วมกับประเทศอื่นอีก 38 ประเทศที่ไม่มีสมาชิกรัฐสภาอายุต่ำกว่า 30 ปี หรือแม้กระทั่งการมีส่วนร่วมทางการเมืองของคนรุ่นใหม่อยู่ในระดับต่ำซึ่งใน 128 ประเทศ ทั้งสภาล่าง (สภาผู้แทนราษฎร) และสภาสูง (วุฒิสภา) ในบางประเทศมีรัฐสภาเดี่ยว เมื่อปี ค.ศ.2015 พบว่ามีสมาชิกรัฐสภาที่มีอายุน้อยกว่า 30 ปีเพียงร้อยละ 1.9 ในเมืองไทยเราแทบจะไม่มีนักการเมืองในช่วงวัยดังกล่าวได้ทำหน้าที่เป็นผู้แทนของประชาชน ทั้งๆ ที่มหาวิทยาลัยหลายแห่งเปิดทำการสอนนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมืองการปกครอง หรือศาสตร์อื่นที่เกี่ยวข้อง

อะไรที่ทำให้คนรุ่นใหม่บางคนมิได้สนใจในการเมือง…

ข้อเท็จจริงหนึ่งที่เราท่านรับรู้มาก็คือ การเมืองเป็นเรื่องของอำนาจและผลประโยชน์ ใครมีอำนาจผู้นั้นก็เป็นคนที่เขียนกฎหมายจักให้เป็นไปเช่นไร ระบบการเมืองและนักการเมืองไทยยังคงมีบริบทที่หลากหลายที่จะพัฒนาไปถึงระดับประเทศที่ได้รับการพัฒนาแล้วที่เรียกว่าประชาธิปไตย ครั้งหนึ่งอดีตนายกรัฐมนตรี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ได้ให้ความหมายของรัฐธรรมนูญฟันปลอม หรือประชาธิปไตยครึ่งใบ ก็คือ รัฐธรรมนูญที่องค์อธิปัตย์ไม่ได้รับการยอมรับการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ตามหลักสากล หรืออำนาจที่มาจากการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่นิติบัญญัติ หรือพี่เลี้ยงที่เรียกว่าวุฒิสภา

ในหลักการของชาวพุทธส่วนหนึ่งได้กล่าวถึงระบอบประชาธิปไตยไว้ก็คือ อัตตาธิปไตย ที่ยอมรับเชื่อถือในตัวบุคคลอาจจะรวมถึงอำนาจของบุคคลนั้นได้แสดงให้เห็นถึงการใช้อำนาจคณาธิปไตย การปกครองด้วยหมู่คณะ ที่อาจจะมีความเห็น ความรู้ ความเชื่อไปในทิศทางเดียวกันหากบริหารจัดการดีก็จักเป็นคุณของประเทศ หากบริหารแบบตรงกันข้ามก็อาจจะมีคำพูดที่ว่าเผด็จการ ประชาธิปไตยก็คือเสียงจากประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ซึ่งเป็นระบบที่เราท่านต่างก็แสวงหาที่อยู่ในความฝัน และธรรมาธิปไตยก็คือใช้หลักการธรรมะ สิ่งที่ถูกต้อง ควรชอบธรรมทั้งหลักการและการนำไปใช้ ก่อประโยชน์ให้กับประชาชนอย่างแท้จริง มิมีอำนาจหรือสิ่งใดเคลือบแฝงซ่อนเร้นไว้แต่ประการใด

หากการเมืองที่ฝันว่าจะเป็นประชาธิปไตยในสังคมไทยเราเริ่มต้นใน พ.ศ.2475-2575 ก็นับเวลาได้ 100 ปีซึ่งในเวลาไม่นานจากวันเวลานี้ก็อีก 13 ปีก็จะถึงวันนั้น ในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของรัฐบาล คสช.ก็กำหนดไว้ปี พ.ศ.2560-2579 ที่ได้ออกแบบประเทศไทยให้ไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ก็หมายความว่ารัฐบาลในสมัยดังกล่าวก็คงจะได้มีการเฉลิมฉลองทั้งระบอบประชาธิปไตยไทย 100 ปี และความสำเร็จของแผนดังกล่าว นาฬิกาปี่กลองทางการเมืองไทยในเวลานี้ได้เริ่มขึ้นแล้ว โดยมีบรรดาทั้งนักการเมืองเก่า ใหม่ได้ออกปราศรัยพูดคุยพบปะประชาชน ขอเสียงให้ตนและพรรคที่จะเป็นผู้แทนไปทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎร มีนักการเมืองรุ่นใหม่บางคนที่ได้กล่าวปราศรัยพูดคุยในสถานที่ต่างๆ ที่ว่าจะทำการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ คสช. หรือปรับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี หรือแม้จะทำการปฏิรูประบบทหารให้กลับไปอยู่ในกรมกองที่ทำหน้าที่ทหารโดยเฉพาะ เราท่านได้ยินได้ฟังวลีดังกล่าวแล้ว ต่างก็มีคำถามและข้อสงสัยที่ว่า อนาคตของประชาธิปไตยไทยจักเป็นเช่นไร…

นักการเมืองไทยเราที่เป็นรุ่นเก่า เป็นผู้สูงอายุหมายถึงอายุที่มากกว่า 60 ปี หรือ 70 ปีในปัจจุบัน หากเมื่ออนาคตอีก 20 ปีข้างหน้า หลายคนต้องทิ้งร่างทิ้งลมหายใจกลับคืนสู่ธรรมชาติ นักการเมืองรุ่นใหม่ที่มีบรรพบุรุษเป็นนักการเมืองรุ่นปู่พ่อน้าอาคงจะได้บทเรียนสำคัญของระบบการเมืองไทยที่ผ่านมา

หากชาตินี้นักการเมืองคนนั้นถวิลหาการเมืองไทยเมื่อตายไปแล้วได้กลับมาเกิดใหม่ ได้พบการเมืองใหม่ของไทยจักเหมือนอดีตภพชาติยังคงเหลืออยู่ หรือว่า จักได้พบเห็นถึงระบอบธรรมาธิปไตยที่คนไทยต้องการทั้งความดี ความงามและความจริง…

เฉลิมพล พลมุข

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image