โกงการเลือกตั้ง : โดย วีรพงษ์ รามางกูร

กระแสความกลัวการโกงเลือกตั้งในการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในวันที่ 24 มีนาคม ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ มีความรุนแรงและความเข้มข้นสูงมาก
เหตุที่ความเกรงกลัวว่าจะมีการโกงเลือกตั้งในการเลือกตั้งครั้งนี้ เพิ่มสูงมากกว่าการเลือกตั้งทั่วไปในครั้งก่อนๆ ทั้งๆ ที่ประเทศของเราได้ว่างเว้นการเลือกตั้งมานานถึง 8 ปี ถ้านับจากการเลือกตั้งครั้งสุดท้าย

ความไม่ไว้วางใจที่มีต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือ กกต. ชุดนี้มีมาอย่างต่อเนื่องและสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะผลการวินิจฉัยข้อขัดแย้งหรือการตีความกฎหมายเลือกตั้งที่ออกมา หลายประเด็นมีความแปลกประหลาด สร้างความแปลกใจที่ไม่ตรงกับการคาดหวังของประชาชนแบบไม่น่าเชื่อ

รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 เป็นรัฐธรรมนูญที่บทบัญญัติ มิได้กำหนดให้ประเทศไทยเคลื่อนย้ายเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยอย่างเช่นนานาอารยประเทศ แต่จะเคลื่อนย้ายจากระบอบเผด็จการเต็มใบเข้าสู่ระบอบเผด็จการค่อนใบ

ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบอย่างที่เราเคยเรียกขานกัน ในการเลือกตั้งตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2520 อันเป็นเหตุให้ระบอบดังกล่าวยั่งยืนอยู่ได้ถึง 8 ปีกว่า เนื่องจากขณะนั้นนายกรัฐมนตรีไม่ได้ตั้งพรรคการเมือง ไม่ได้ประกาศสนับสนุนผู้ใดเป็นนายกรัฐมนตรีก่อนการเลือกตั้ง ขณะเดียวกันก็ไม่มีพรรคใหญ่พรรคใดที่ถูกกำหนดล่วงหน้าให้เป็นฝ่ายค้าน

Advertisement

พรรคการเมืองทุกพรรคมีสิทธิได้เข้าร่วมรัฐบาลทั้งนั้น ทุกพรรคมีสิทธิเป็นได้ทั้งการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้าน เพราะรัฐบาลมีวุฒิสภาเข้าร่วมเป็นรัฐสภาในการออกเสียงเลือกนายกรัฐมนตรี ที่จะเป็นคนในก็ได้หรือคนนอกก็ดี อีกทั้งกำหนดให้รัฐบาลไม่ต้องได้รับเสียงไว้วางใจในการแถลงนโยบาย เมื่อเข้ารับตำแหน่งภายในปีแรก ผู้แทนราษฎรเสนอญัตติไม่ไว้วางใจรัฐบาลไม่ได้ พ.ร.บ.ที่สำคัญและ พ.ร.บ.ที่เกี่ยวกับการเงินต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา

บทบาทของวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2520 จึงสามารถสร้างเสถียรภาพให้รัฐบาล ได้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลาที่บทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญยังไม่หมดอายุ ใน 5 ปีแรกของการใช้รัฐธรรมนูญ

การโกงเลือกตั้งจึงไม่เป็นประเด็นที่ประชาชนสงสัย แต่ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง ประชาชนเกิดความระแวงสงสัยและเกรงกลัว เพราะแม้ว่าจะมีวุฒิสภาเข้าร่วมลงคะแนนเสียงในการเลือกนายกรัฐมนตรี ที่จะเป็นคนนอกหรือจะเป็นคนในก็ได้

Advertisement

เมื่อเลือกนายกรัฐมนตรีเข้าบริหารราชการแผ่นดินแล้ว รัฐบาลจะต้องเสนอร่าง พ.ร.บ.สำคัญและ พ.ร.บ.การเงินอยู่ตลอดเวลา ถ้ารัฐบาลเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎร โอกาสที่ พ.ร.บ.สำคัญหรือ พ.ร.บ.งบประมาณแผ่นดินประจำปี จะไม่ผ่านสภาผู้แทนราษฎรก็มีอยู่สูง ความจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องมีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเสถียรภาพของรัฐบาลจึงมีอยู่มากประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า พรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดมีคะแนนเสียงข้างมาก ต้องอยู่ข้างนอกและต้องเป็นฝ่ายค้าน
.
การที่รัฐบาลเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎร จึงเป็นการยากในการดำรงอยู่ของฝ่ายรัฐบาล รัฐบาลจึงมีความจำเป็นต้องเป็นเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร เมื่อผลการสำรวจล่วงหน้ามีคะแนนเสียงออกมาว่ารัฐบาลจะไม่ได้เสียงข้างมากในการเลือกตั้งคราวนี้ รัฐบาลก็จำเป็นต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ตนได้ ส.ส.เข้าสภามากกว่าฝ่ายตรงกันข้าม ยิ่งพรรคประชาธิปัตย์ประกาศไม่สนับสนุนนายกรัฐมนตรีคนเดิมเพื่อสืบต่ออำนาจของระบอบเผด็จการทหาร แต่จะเป็นฝ่ายค้านอิสระ ไม่ร่วมกับพรรคเพื่อไทย กลายเป็นสยาม 3 ก๊ก เป็นฝ่ายซุนกวนกับจิวยี่ ตั้งตัวเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับโจโฉ แม้จะไม่ชอบเล่าปี่ เหมือนกับประชาธิปัตย์ไม่ชอบเพื่อไทยเลยก็ตาม ออกมาประกาศตัวเป็นฮ่องเต้เสียเองเช่นเดียวกับซุนกวน ทั้งที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้

แต่จากการสำรวจพรรคที่ประกาศตัวสนับสนุนรวมกันแล้วก็ยังไม่ได้เสียงข้างมาก วิธีที่จะให้ได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร แม้ว่าต้องเอาเปรียบด้วยวิธีต่างๆ ก็ยังไม่พอ ใช้เงินทองก็ไม่น้อย ดังนั้น ถ้าจะต้องเอาให้ได้ก็ต้องโกงเลือกตั้ง..

การโกงเลือกตั้งที่ฉาวโฉ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยก็คือ การเลือกตั้งสกปรกปี 2500 โดยพรรคมนังคศิลาของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่มีทั้ง “พลร่ม” คือเอาคนเวียนเทียนกันมาลงคะแนนเสียงและ “ไพ่ไฟ” คือเอาบัตรลงคะแนนเสียงปลอมยัดใส่กล่องลงคะแนนเสียง โดยเลขาธิการพรรคเป็นผู้จัดการ จนเกิดการเดินขบวนต่อต้าน อันเป็นการนำไปสู่การปฏิวัติ รัฐประหารโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ สมัยนั้นยังไม่มี กกต. มีเพียงกระทรวงมหาดไทย ซึ่ง พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ เป็นรัฐมนตรีควบกับตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจ

หลังจากนั้นข่าวการโกงเลือกตั้งก็จางหายไป กลับมาโผล่อีกครั้งในสมัยนี้ เพราะรัฐบาลมีความจำเป็นที่จะต้องได้เสียงข้างมาก และผลการสำรวจมีความเสี่ยงสูงที่จะไม่ได้ เมื่อสถานการณ์เป็นอย่างนี้ กระแสความกลัวความหวาดระแวงสงสัยของประชาชนผู้ใช้สิทธิจึงสูงขึ้นมาก การทำรัฐประหารนั้นเปรียบเสมือนขึ้นขี่หลังเสือ ยากที่จะลงโดยไม่โดนเสือกัดตาย

แต่สมัยนี้คงจะเป็นไปได้ยากเพราะการลงคะแนนเสียงในทุกหน่วย มีหูมีตาคอยสอดส่องเฝ้ามองดูอยู่ทั้งในและต่างประเทศ แต่ก็ไม่วายที่ผู้คนจะสงสัย มีอีกวิธีหนึ่งที่จะทำได้คือให้ กกต.ให้ใบเหลืองใบแดงกับฝ่ายตรงกันข้าม ก็จะทำให้การประกาศผลการเลือกตั้งล่าช้าเกินกำหนดการเปิดสภาผู้แทนราษฎร ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งกำหนดว่าจะต้องได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเกินกว่าร้อยละ 95 ขึ้นไป

ก็ได้แต่หวังว่าเหตุการณ์โกงการเลือกตั้ง อย่างสมัยการเลือกตั้งปี 2500 จะไม่เกิดขึ้น เพราะอย่างไรนายกรัฐมนตรีก็จะได้คะแนนเสียงในรัฐสภาเกินกว่าครึ่งอยู่แล้ว ถ้าสภาผู้แทนราษฎรไม่ผ่านกฎหมายสำคัญให้ นายกรัฐมนตรีก็มีอำนาจยุบสภาอยู่แล้ว

การยุบสภาเป็นมาตรการที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลเกรงกลัวอยู่แล้ว ถ้ายุบสภาแล้วเลือกตั้งครั้งใหม่ รัฐบาลยังแพ้การเลือกตั้งอีก ก็ไม่สมควรจะกลับมาเป็นรัฐบาล เพราะที่อยู่มาบ้านเมืองก็เสียหายมากพอแล้ว

การใช้พลร่มไพ่ไฟโกงเลือกตั้งนั้นล้าสมัยไปแล้ว ถ้าหากยังขืนทำอีก ก็ไม่แน่ว่าจะเกิดกรณีเลือกตั้งสกปรกปี 2500 หรือไม่ อาจจะมีจอมพลสฤษดิ์เกิดขึ้นอีกก็ได้ ซึ่งจะนำประเทศชาติให้ถอยหลังไปอีกกว่า 60 ปี ในขณะที่โลกได้ก้าวล่วงความด้อยพัฒนาการเมืองไปแล้วเกือบทั้งหมด การล้าหลังทางการเมืองในยุคนี้ไม่เหมือนยุคก่อน ยุคนี้เศรษฐกิจของประเทศพัฒนามาได้ไกลมาก โลกได้พัฒนาไปไกลเป็นโลกาภิวัตน์แล้ว

ระบอบการปกครองที่เป็นการสืบทอดอำนาจเผด็จการไม่เป็นที่ยอมรับอีกต่อไป เป็นตัวถ่วงความเจริญของประเทศชาติ เป็นกระบวนการพาประเทศชาติให้ถอยหลังเข้าคลอง ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะได้นายกรัฐมนตรีที่ฉลาดและสะอาด

ความขัดแย้งทางการเมืองย่อมมีอยู่เสมอ แต่การปฏิวัติรัฐประหารไม่ใช่วิธีแก้ไข เพราะการขัดแย้งทางการเมืองต้องแก้ไขโดยวิธีทางการเมือง ซึ่งระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบที่ทำให้ความขัดแย้งสามารถแก้ไขได้โดยสันติวิธีอยู่แล้ว

อย่าโกงการเลือกตั้งเลย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image