การเมืองไทย3-4ปีข้างหน้า : โดย วีรพงษ์ รามางกูร

การพยากรณ์สถานการณ์การเมืองโดยส่วนรวมของประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นสิ่งที่ยุ่งยากมาก โดยเฉพาะประเทศที่มีความด้อยพัฒนาทางการเมืองอย่างประเทศไทย แต่ความจำเป็นที่จะต้องคาดการณ์สถานการณ์ทางการเมืองไปข้างหน้า ยังมีความจำเป็นและเป็นภารกิจสำคัญของนักวิชาการ ทางด้านสังคมศาสตร์ทุกสาขา การค้าการลงทุน การทำมาค้าขายก็ยังต้องคำนึงถึงสถานการณ์ทางการเมืองในอนาคตด้วย

ขณะนี้การใช้ความคิดเรื่อง “รัฐพันลึก” หรือ “Deep State” มาวิเคราะห์การเมืองสหรัฐอเมริกา ที่ประธานาธิบดีสหรัฐโดน “รัฐพันลึก” เล่นงานเรื่อยๆ มาตั้งแต่ประธานาธิบดีลินคอล์น ที่ประกาศเลิกทาส ที่เป็นแรงงานเป็นพลังงานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการเกษตรในรัฐทางใต้ของอเมริกาเรื่อยๆ มา เพราะไปขัดผลประโยชน์ของรัฐพันลึกในอเมริกา ที่ต้องการรักษาอุดมการณ์ที่สำคัญ 2 ประการ คือ การแบ่งแยกผิวและการต่อต้านลัทธิสังคมนิยม แม้ว่าจุดมุ่งหมายแรกดูจะลดลงไปหลังจากที่สาธุคุณ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง ถูกหัวหน้าขบวนการเรียกร้องความเท่าเทียมกัน ถูกเครือข่ายของ “รัฐพันลึก” กำจัดออกไปจากสังคมอเมริกันโดยการลอบสังหาร

“รัฐพันลึก” ในระบอบการเมืองของไทย แม้ว่าจะประสบความล้มเหลว เพราะไม่สามารถ “ดำดิน” อยู่ได้ต่อไป ต้องโผล่ออกมาจากใต้ดินแล้ว “ยึดอำนาจรัฐ” ที่มาจากประชาชนเสียเอง เข้ามาเป็นผู้ขัดแย้งอย่างเปิดเผยกับขบวนการประชาธิปไตยเสียเอง หลังจากทำการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 แต่อย่างไรก็ตาม “รัฐพันลึก” ของไทยบางส่วนก็ยังมีบางส่วนที่ยังปิดลับและดำรงคงอยู่ต่อไป

โดยธรรมชาติ เมื่อ “รัฐพันลึก” เปิดเผยตัวลงมายึดอำนาจอธิปไตยจาก “รัฐประชาชน” People’s state รัฐประชาชนก็สลายตัวไป แต่กลไกของรัฐพันลึกที่รัฐธรรมนูญออกแบบมาเพื่อถ่วงดุลและป้องกัน มิให้ตัวแทนของประชาชนที่เข้ามาด้วยเสียงส่วนใหญ่ของประเทศได้เข้ามามีบทบาทในการบริหาร เข้ามาแย่งชิงอำนาจในการจัดสรรทรัพยากรของชาติไปจากกลุ่มคนที่เป็นเจ้าของอำนาจ “รัฐพันลึก”

Advertisement

ตัวแทนของ “รัฐพันลึก” ส่วนที่เปิดในบ้านเราก็คือ องค์กรอิสระต่างๆ ที่ไม่ขึ้นกับรัฐบาลและรัฐสภา บรรดามติคณะรัฐมนตรีก็ดี พระราชบัญญัติก็ดี แม้จะผ่านออกมาบังคับใช้แล้วก็ดี บรรดาตัวแทนของรัฐพันลึกอาจจะสั่งเครือข่ายของตนไม่ต้องปฏิบัติตามก็ได้

เมื่ออำนาจ “รัฐพันลึก” ได้ยึดอำนาจรัฐอย่างเปิดเผยจากประชาชนแล้ว ปัญหาของ “รัฐพันลึก” ที่โผล่ออกมากระทำการบนดินจึงต้องรับผิดชอบต่อประชาชน แม้วันนี้การสอบสวนไม่อาจจะทำได้เพราะความที่เป็นองค์กรหนึ่งของ “รัฐพันลึก” ซึ่งไม่ขึ้นต่อองค์กรทางการเมืองของประชาชน วันหน้าก็ต้องถูกตรวจสอบเป็นของธรรมดา

อำนาจ “รัฐพันลึก” นั้นมีเครือข่ายลับทั่วไป รวมทั้งมีอำนาจควบคุมสถานีวิทยุ สถานีโทรทัศน์ และองค์กรที่ตรวจสอบกันเองของหนังสือพิมพ์ กลายเป็นเครือข่ายตรวจสอบรัฐบาลปัจจุบันอยู่อย่างเงียบๆ เพื่อคอยตรวจดูว่ายังจะพอไว้ใจได้หรือไม่ ยังเข้มแข็งพอจะรับใช้ “รัฐพันลึก” อยู่ต่อไปได้หรือไม่ จึงเกิดกรณีที่ ผบ.ทบ.ออกมาประกาศสนับสนุนรัฐบาล “สามเกลอหัวแข็ง” ต่อไป เพราะคงจะมีข่าวว่าขบวนการนักศึกษากำลังก่อตัวขึ้นเพื่อต่อต้าน “รัฐพันลึก” ที่ครองอำนาจรัฐอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งก็เป็นของธรรมดาที่สามารถคาดการณ์ได้

Advertisement

ขณะเดียวกันคณะ “สามเกลอหัวแข็ง” ก็ยังมีอำนาจ จำเป็นที่จะต้องอยู่เป็นรัฐบาลต่อไป แม้ว่าตนไม่ได้เป็น “รัฐพันลึก” อีกต่อไป เพราะตนพ้นออกมาจากกองทัพแล้ว แม้จะเป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แต่ก็ยังเป็นกลไกสำคัญในการดำเนินการทางการเมือง จัดตั้งพรรคการเมืองเพื่อสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหารของ “รัฐพันลึก” ต่อไป

ด้วยความเป็นจริงแล้วสำหรับประเทศไทย ผู้ที่สามารถใช้อำนาจและผู้ที่จะเป็นผู้ปกป้อง “รัฐพันลึก” ก็คือ ผบ.ทบ. ซึ่งถือเป็นภารกิจสำคัญที่สุดเป็นลำดับแรก รัฐบาลที่ครองอำนาจอยู่ถ้าแสดงความอ่อนแอว่าไม่สามารถปกป้อง “รัฐพันลึก” อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ทำการสืบทอดอำนาจไม่สำเร็จ ก็เป็นหน้าที่ของ ผบ.ทบ. ซึ่งเป็นประเพณีในช่วงที่ไม่มีสภาผู้แทนราษฎร จะต้องดำเนินการให้รัฐบาลทหารอยู่ในอำนาจต่อไปได้ด้วยวิธีการต่างๆ ที่เหมาะสม เช่น ดำเนินการทางรัฐสภาให้สนับสนุนรัฐบาล ดำเนินการป้องปรามการเมืองนอกสภา ยับยั้งการเดินขบวนต่อต้านและคัดค้านรัฐบาล

ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา กกต.ไม่สามารถประกาศผลการเลือกตั้งจากหน่วยต่างๆ ได้ ทั้งๆ ที่การนับคะแนนจากหน่วยเลือกตั้งเสร็จสิ้นลงภายในเวลาไม่ช้า มีการขนส่งหีบบัตรเท่านั้นที่อาจจะต้องใช้เวลา ผู้คนส่วนใหญ่เชื่อเสียแล้วว่า กกต.ถูกสั่งให้นับคะแนน เพื่อให้พรรคที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นมา
สนับสนุนเป็นรัฐบาลต่อไปชนะการเลือกตั้งให้ได้ เพราะคงจะทราบผลจากการสำรวจล่วงหน้าแล้วว่าตนจะแพ้การเลือกตั้ง ถึงแม้จะใช้กลไกทุกอย่างที่สามารถทำการเอาเปรียบฝ่ายตรงกันข้ามได้

การตั้งธงไว้ก่อนแล้วว่าจะต้องนับคะแนนให้พรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลชนะการเลือกตั้ง คะแนนที่ออกมาจึงเขย่ง ประกาศไม่ได้ การที่ กกต.รับคำสั่งดังกล่าว ถ้าเป็นจริง ก็เสี่ยงต่อการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งเคยมีคดีเป็นตัวอย่างอยู่แล้ว

การเมืองไทยในช่วง 3-4 ปีข้างหน้า จึงเป็นช่วงระยะเวลาของความไม่แน่นอน เพราะระบบเลือกตั้งแบบ “จัดสรรปันส่วนผสม” ที่ออกแบบขึ้นมา เพื่อจำกัดจำนวน ส.ส.ของพรรคการเมืองในกลุ่มประชาธิปไตยไม่ให้เข้ามามีบทบาทในการปกครอง

การที่พรรค พปชร.และพันธมิตร ได้จำนวน ส.ส.น้อยกว่าพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่และอื่นๆ ทำให้ความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลที่สืบทอดอำนาจเผด็จการทหารโดยใช้เสียงจากวุฒิสภามาช่วย คงจะอยู่ได้ไม่นาน เพราะการลงมติในญัตติต่างๆ ที่พิจารณากันเฉพาะในสภาผู้แทนราษฎร ไม่อาจจะแน่ใจว่าจะได้คะแนนเสียงครบตามที่ต้องการหรือไม่
การที่พรรคประชาธิปัตย์แตกออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายที่อยากเข้าร่วมรัฐบาลเพื่อจะได้ตำแหน่งทั้งในรัฐบาลและในรัฐสภา กับฝ่ายสมาชิกรุ่นหนุ่มสาวที่กลับมองเห็นว่าเป็นโอกาสของพรรคที่จะได้ปฏิรูปตัวเอง ถ้าหากไม่เข้าร่วมกับพรรค พปชร. สนับสนุนการสืบทอดอำนาจเผด็จการของคณะรัฐประหาร แต่ถ้าพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมสืบทอดอำนาจเผด็จการ ก็ต้องถือว่าเป็น “จุดจบ” หรือ “อวสาน” ของพรรค “ฤษีเลี้ยงลิง”

จุดจบของคณะรัฐประหารเกือบทุกชุด ก็คือการถูกประชาชนเดินขบวนขับไล่ เพราะมักจะหลงผิด คิดว่าประชาชนไม่มีความสนใจในระบอบประชาธิปไตย ขอให้ตนเองอยู่ดีกินดีมีงานทำมีเงินใช้ แต่บังเอิญเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงขาลง ราคาพืชผลการเกษตรทุกตัวตกต่ำลงไปหมด ผลงานของรัฐบาลทหาร 5 ปีที่ผ่านมาจึงไม่มีอะไรให้เห็นเป็นรูปธรรมเลย นอกจากวาทกรรมที่โกหกมดเท็จและหยาบคาย

การถูกต่อต้านจากประเทศยุโรปตะวันตกและอเมริกา ทำให้การขยายตัวของการส่งออกลดลง อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไม่ถึง 4 เปอร์เซ็นต์ และยังไม่เห็นสัญญาณว่าจะฟื้นตัวโดยเร็ว รัฐบาลมัวแต่สนใจความอยู่รอดของตัวเอง ไม่สนใจว่าจะหาทางชดเชย แก้ไขปัญหาความซบเซาและความตกต่ำของรายได้ครัวเรือน เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างไร

ไม่ได้สนใจความอยู่รอดของประชาชน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image