ผู้เขียน | รศ.เลิศ อานันทนะ |
---|
ในโอกาศครบรอบ 114 ปี “ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช” ในปี 2562 นี้ เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยท่านหนึ่ง ในฐานะเป็นบุคคลเพียงคนเดียวที่ได้รับเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ ให้มี “วันเสนีย์เดย์” จากสถาบันการศึกษาทางกฎหมายจากประเทศอังกฤษ และทำคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาตินานัปการ
ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นอกจากทรงภูมิปัญญาทางด้านกฎหมายดังที่ใครๆ รู้กันอยู่แล้ว ท่านยังเป็นนายกรัฐมนตรีที่มี “บุคลิกภาพ” สุภาพอ่อนโยน มีคุณสมบัติพิเศษ (Talented & Gigted) เปี่ยมล้นด้วยพรสวรรค์แฝงไว้ด้วยอารมณ์อันสุนทรีย์ รักศิลปะ ชอบวาดรูป เล่นดนตรีและรักสิ่งสวยงามจากธรรมชาติ มีจิตใจและทัศนคติที่ดีต่อโลกและคนทั่วไป
มีขันติธรรมสูงถึงขนาดที่สมัยหนึ่งเคยมีสื่อมวลชนบางสำนักขนานนามให้ท่านว่าเป็น “ฤๅษีเลี้ยงลิง” ท่านอาจารย์เสนีย์ก็ยังไม่เคยโต้ตอบหรือแสดงอาการเกรี้ยวกราดใดๆ ออกมาเหมือนกับนายกรัฐมนตรีบางคนเลย
ครั้งหนึ่ง ผมได้มีโอกาสไปถ่ายรูปอาจารย์เสนีย์ ปราโมช ขณะที่ท่านกำลังเป็นประธานพิธีเปิดงานแสดงนิทรรศการศิลปกรรม ที่วังท่าพระ มีช่างภาพสื่อมวลชนและผู้สนใจมารุมล้อมถ่ายรูป ต่างยืนถือกล้องกดชัตเตอร์พร้อมแสงแฟลชวูบวาบ แขนทั้งสองข้างกางอยู่บนที่พนัก ในท่านี้ถ้าถ่ายจากมุมต่ำน่าจะดีกว่าคนที่ยืนถ่ายจากมุมสูง
เมื่อบรรดาช่างภาพและผู้สนใจคนอื่นไปกันหมดแล้ว ผมจึงหยิบกล้องเดินไปที่จุดถ่ายภาพแล้วนั่งก้มลงหมอบกับพื้นห้อง ท่ามกลางความงุนงงในสายตาที่แปลกใจของบรรดาแขกที่มาในงาน
สมัยนั้นยังใช้กล้องฟิล์มอยู่ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้แฟลชที่พุ่งส่องไปตรงที่ใบหน้าบุคคลที่จะถ่ายภาพและเพื่อป้องกันภาพสั่นไหว ผมจึงยกข้อศอกยันลงกับพื้นแทนขาหยั่ง เปิดรูรับแสงที่ F 1.4 ให้กว้างสุด เล็งไปที่ดวงตาบุคคลที่อยู่ตรงหน้า กั้นลมหายใจสักครู่ก่อนตัดสินใจกดชัตเตอร์อย่างนิ่มนวล
พอลุกขึ้นมาก็ได้ยินเสียงคนจากด้านหลังในบริเวณท้องพระโรงพูดล้อเลียนให้ได้ยินว่า “สงสัยคนนี้เป็นนักข่าวมาจาก นสพ.ซินเซียน เย่อ เป้า”
ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร ผมก็ได้ถ่ายรูปท่านอาจารย์ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ในท่าที่สวยสง่างามอย่างที่สุดภาพหนึ่งเท่าที่เคยถ่ายภาพมา
เป็นภาพขาวดำที่งดงามแบบคลาสสิก สมกับการลงทุนหมอบลงกับพื้นห้อง ท่ามกลางสายตาและเสียงหัวเราะเยาะของผู้คนที่ไม่นึกว่าจะมีคนถ่ายภาพในท่านี้
หลังจากนั้นไม่นานจึงไปขอสัมภาษณ์ท่านด้วยความกรุณาของอาจารย์ ลาวัณย์ “ดาวราย” อุปอินทร์ ได้ช่วยติดต่อประสานให้ ในที่สุดก็ได้เดินทางไปสัมภาษณ์อย่างเป็นทางการที่บ้านของท่าน
ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ได้ให้การต้อนรับโดยพาเดินชมสิ่งของที่ระลึกที่ประชาชนได้มอบให้ เล่นเปียโนให้ฟัง นำขึ้นไปชมดอกไม้ ต้นไม้นานาพรรณบน “เรือนกระจก” และนั่งสัมภาษณ์ที่นั่น
คำถามแรกที่จดเตรียมมาถามเป็นข้อๆ คือ
“คนที่เป็นนายกรัฐมนตรี พอถึงวันเด็กแห่งชาติจะมี ‘คำขวัญ’ ที่สวยหรูมอบให้แก่เด็กๆ ปีแล้วปีเล่าแต่เด็กไทยก็ยังเป็นเหมือนเดิม ท่านจะมีวิธีการส่งเสริมและสนับสนุนให้เด็กเยาวชนไทยให้มีอนาคตที่ดีได้อย่างไร?”
อาจารย์เสนีย์ตอบว่า “เด็กไทยของเรายังขาด HOBBY”
พร้อมกับแนะนำ “เราจะต้องสอนให้เด็กรู้จักการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์สูงสุด
“อย่าอยู่เฉยๆ ต้องไม่ปล่อยให้มีเวลาว่าง
“สมัยที่ผมเรียนอยู่เมืองนอก อาจารย์จะให้ทำงานตลอดเวลา พอสั่งให้ทำงานอย่างนี้เสร็จก็ให้ไปทำงานอย่างโน้น พอทำงานอย่างโน้นเสร็จก็กลับมาให้ทำงานอย่างนี้อีก เป็นอย่างนี้ตลอด แทบไม่มีเวลาพักเลย
“เด็กไทยเรายังขาดการทำงานอดิเรก ต้องรู้จักใช้เวลาว่างเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดจิตใจฟุ้งซ่าน”
อาจารย์เสนีย์ ปราโมช ยังได้เล่าถึงบรรยากาศการเรียนวิชาการกฎหมายที่ประเทศอังกฤษ จนกระทั่งมีปรากฏการณ์ “วันเสนีย์เดย์” ที่ร่ำลือมาจนถึงทุกวันนี้
“วันเสนีย์เดย์ ไม่ได้มีทุกวัน มีวันเดียวเท่านั้น
“ผมไม่ได้คาดคิดมาก่อน เรียนไปตามปกติธรรมดา ใช้เวลาเรียนประมาณ 7 เดือนจบแล้วก็จะรีบกลับเมืองไทย
“สมัยนั้นกำลังเกิดสงครามโลก!
“ผมต้องการเพียงขอให้สอบไล่ได้เท่านั้นเอง พอถึงวันประกาศผลออกมาปรากฏว่าตายละหวา…!”
“ดูกี่เที่ยวๆ ก็ไม่เห็นมี…
“ไม่มีชื่อผมติดอยู่ในประกาศแผ่นนั้นเลย
“ผมรู้สึกใจเสียว่าจะต้องกลับเมืองไทยมือเปล่า…ไม่ได้อะไรกลับมา”
เหตุการณ์กลับตาลปัตร เมื่อคณะกรรมการได้นำชื่อ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ไปติดไว้ในแผ่นทองคำอีกแผ่นหนึ่งต่างหากเพียงคนเดียวเท่านั้น
ในฐานะผู้สอบไล่ได้ “คะแนนสูงสุด” เป็นคนแรกนับตั้งแต่สถาบันตั้งขึ้นมาร้อยกว่าปี โดยประกาศยกย่องให้วันนั้นเป็น “วันเสนีย์เดย์”
การสนทนาดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติตามสภาพแวดล้อมแล้วแต่ว่าจะคุยเรื่องอะไรก็ได้ สุดท้ายหัวข้อเรื่องที่เตรียมมาถามก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างอิสระเสรีไม่จำกัด
“เดี๋ยวนี้ ผมมีเพื่อนอยู่ 3 คน”
อาจารย์เสนีย์พูดราวกับเป็นนักปรัชญา
“เพื่อนคนที่ 1 คือ ปลูกต้นไม้
“เพื่อนคนที่ 2 คือ เล่นดนตรี
“เพื่อนคนที่ 3 คือ เขียนรูป
“วันหนึ่ง…มีคนมาเห็นผมกำลังเหล่าดินสอ
“วันต่อมา ก็มีคนเหลาดินสอมาให้เป็น
กระป๋องเลย!
“ผมไม่ใช่จะมาเหลาดินสอหรอก…ผมใช้เวลานั้นมาคิดอะไรต่างหาก”
คนที่เหลาดินสอส่งมาให้เป็นกระป๋องๆ อาจกระทำด้วยความหวังดี แต่อาจจะไม่รู้ว่า “สมอง” ของคนเรานั้นไม่ใช่ “เครื่องจักร” ต้องเรียนรู้ ต้องรู้จักคิด รู้จักวางแผนต้องมีจินตนาการ
แล้วผมก็ต้องตื่นตะลึงเมื่อได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับการเมืองการทหารในเหตุการณ์หนึ่งอย่างไม่คาดฝัน
“ไม่เป็นไรพูดแล้วพูดเลย… ไม่มีความลับอะไร
“เรื่องมีอยู่ว่าในช่วงเวลานั้นมีหัวหน้าคอมมิวนิสต์ในป่าคนหนึ่งได้ติดต่อมาว่าจะขอมอบตัวและวางอาวุธ พร้อมด้วยพลพรรคในป่าทั้งหมด
“แต่มีเงื่อนไขว่าตัวนายกรัฐมนตรีจะต้องเดินทางไปเจรจาด้วยตนเอง เพื่อความไว้ใจในข้อตกลง
“ทางฝ่ายนักรบในป่าจะยอมยุติการสู้รบกับฝ่ายรัฐบาลและจะเปลี่ยนมาต่อสู้โดยการลงสมัครเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยแทนการต่อสู้กับฝ่ายรัฐบาลด้วยกระบอกปืน”
ซึ่งอาจารย์เสนีย์ ปราโมช ได้ตอบตกลงและเดินทางไปด้วยตนเอง
เมื่อถึงจุดนัดพบในป่า หัวหน้าคอมมิวนิสต์ในชื่อจัดตั้งคนดังกล่าวได้มารอรับอยู่แล้ว
“ผมจึงพูดเล่นๆ ว่ามีเบียร์ไหม?
“ผมอยากจะกินเบียร
อาจารย์เสนีย์พูดสัพยอกเล่นเพราะไม่คิดว่าในป่าเขาลำเนาไพรอย่างนั้นจะมี
“แต่อีกประมาณชั่วโมงกว่าๆ ลูกน้องของเขาก็นำเบียร์มาให้ 2 ขวด
“การเจรจาก็ดำเนินโดยคนที่เป็นหัวหน้าบอกว่าขอให้ผมและคณะรัฐบาลรับรองความปลอดภัย โดยสัญญาว่าจะสั่งให้ลูกน้องและพวกคอมมิวนิสต์ในป่าทั้งหมดยอมยุติการต่อสู้กับทางทหารฝ่ายรัฐบาล”
ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังเจรจากันอย่างลับๆ อยู่ในป่านั้น ก็มีลูกน้องของเขาเข้ามารายงานกับหัวหน้า
“ฉิบหายแล้ว! พวกทหารยกขบวนมาล้อมพวกเราไว้หมดแล้ว” ทุกคนนิ่งเงียบ
อาจารย์เสนีย์เล่าว่า “หัวหน้าคนนี้จิตใจเขาเยือกเย็นมาก เขาไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมาเลย”
ในส่วนลึกๆ ของอาจารย์เสนีย์ ปราโมช ขณะนั้นอาจจะต้องรู้สึกหวั่นไหว เพราะกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากคือ อยู่ท่ามกลางความสับสน ความหวาดระแวงในเรื่องความไว้วางใจของทุกฝ่าย
“ถ้าพวกหนังสือพิมพ์รู้ข่าวว่านายกรัฐมนตรีมาตกลงกับหัวหน้าคอมมิวนิสต์ในป่าเรื่องจะเป็นอย่างไร”
สิ่งที่น่าหวาดวิตกมากที่สุดขณะนั้น ก็คือ เหตุร้ายอาจจะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ เพราะพวกฝ่ายนักรบในป่าอาจจะสงสัยว่าพวกเขากำลังถูกฝ่ายรัฐบาลหักหลังก็ได้
ในขณะที่กำลังสับสนและเฝ้ารอดูเหตุการณ์อยู่นั้นเองลูกน้องคนหนึ่งก็เข้ามารายงานหัวหน้าของเขาว่า
“พวกทหารเคลื่อนย้ายกำลังออกไปหมดแล้ว
“รู้ต่อมาภายหลังว่าที่ทหารยกพวกมาจอดรถเพราะว่ามีรถยนต์คันหนึ่งยางแตกจึงมาหยุดซ่อม”
เหตุการณ์ที่คิดว่าเลวร้ายใจหายใจคว่ำ กลับกลายเป็นเรื่องโล่งอกและจบลงด้วยดี
ในโอกาสครบรอบ “114 ปี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช” ในปีนี้ ขอก้มลงกราบคารวะมาสักร้อยครั้ง พันครั้ง ให้กับวีรกรรมอันกล้าหาญ เสี่ยงภัย เสียสละเพื่อสันติสุขของประเทศชาติที่น้อยคนจะรู้
รศ.เลิศ อานันทนะ