25-27 เมษายน ศูนย์ประชุมนานาชาติปักกิ่ง คลาคล่ำไปด้วยผู้นำประเทศและองค์กรรวม 40 กว่าประเทศ เพื่อเข้าร่วมการประชุม “THE SECOND BELT AND ROAD FORUM FOR INTERNATIONAL COOPERATION” (第二届 “ 一帶一路”国际合作高峰论坛)
(หมายเหตุ : ขอใช้ชื่อเป็นภาษาไทยว่า การประชุมขั้นสุดยอดหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางครั้งที่ 2)
ถนนหลายสายมุ่งสู่ปักกิ่ง ร่วมประชุมโต๊ะกลมขนาดยักษ์ เป็นบรรยากาศที่ชื่นมื่นและอบอุ่น ก่อให้เกิดสันถวไมตรี และสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นในโลก
ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง พลิกโฉมหน้าสถานการณ์โลกในรอบ 100 ปี ให้ไต่ระดับขึ้นไป โดยพัฒนาจากแนวทาง “เส้นทางสายไหม” ให้เป็น “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” (แถบทาง) กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ “เส้นทางสายไหมใหม่” ทั้งนี้เพื่อวัตถุประสงค์เชื่อมโยงภูมิภาคเอเชีย ยุโรป และแอฟริกา โดยยึดแนวทางเศรษฐกิจสายไหมเพื่อพัฒนาการค้าการลงทุน ตลอดจนโครงการแห่งความร่วมมือ เพื่อให้บรรลุความสำเร็จการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศจีนและภูมิภาค
เป็นข้อริเริ่มและแนวทางที่สร้างสรรค์ของสี จิ้นผิง เริ่มประกาศใช้ตั้งแต่ปี 2013 และได้ทำโปรโมชั่นมาโดยตลอด พร้อมทั้งหาสมาชิกด้วย
บัดนี้ ข้อริเริ่ม “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” ได้มีความก้าวหน้าเป็นที่ประจักษ์
“สี จิ้นผิง” รอคอยแต่ละประเทศเพื่อเดินไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อบรรลุแนวทางความร่วมมือ ยกระดับการร่วมสร้างข้อริเริ่ม “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” สร้างสัมพันธ์หุ้นส่วนให้กระชับยิ่งขึ้น เพื่อให้ประชาชนทุกประเทศอยู่ดีมีสุข
“การประชุมขั้นสุดยอดหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางครั้งที่ 1” เมื่อ 2017 ได้ยึดมั่นพื้นฐานแห่งการร่วมคิด ร่วมสร้าง และร่วมทุกข์ร่วมสุข ทำการผลักดันนโยบายการติดต่อสื่อสาร การค้า การคลัง หล่อหลอมให้แนวร่วมมีความคิดที่เป็นไปในทางเดียวกันและเดินอยู่บนเส้นทางเดียวกัน เพิ่มพลังให้เศรษฐกิจโลกมีความเติบโตเป็นที่ประจักษ์
การประชุมครั้งนี้ก็มีเป้าหมายเดียวกัน แต่ต้องไต่ระดับให้สูงขึ้นไป เพื่อความพัฒนาถาวรสืบต่อไป สืบต่อเพื่อรอนำแผนพัฒนาของสหประชาชาติ 2030 รวมเข้ากับข้อริเริ่มดังกล่าว
ดูประหนึ่งเป็นการสนับสนุน “Agenda” ของสหประชาชาติ อันเกี่ยวกับรูปแบบการประหยัดทรัพยากร ตลอดจนความร่วมมืออันเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่ดี
การประชุมครั้งนี้แต่ละฝ่ายได้บรรลุผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรมรวม 283 รายการ ส่วน Matching Business ของบรรดานักธุรกิจได้ลงนามในการรับรู้ร่วมกันแห่งความร่วมมือทางการค้าเป็นยอดเงินถึง 6.40 หมื่นกว่าล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ ย่อมเป็นการแสดงถึงกระแสความนิยม ถูกใจคน ได้ประโยชน์หลายสถานทั้งประชาชนและสังคมโลก
แม้เป็นตัวเลขที่แถลงอย่างเป็นทางการ แต่เป็นเพียงความรับรู้ร่วมกัน เป็นเพียง “ราคาคุย” เท่านั้น จะบังคับตามกฎหมายมิได้ เมื่อถึงเวลาเอาจริงเข้าจะเหลือเท่าใดก็ยากที่จะอนุมาน
อย่างไรก็ตาม ต้องถือว่าเป็นการเพิ่มต้นทุนทางการเมืองในเวทีสากลของ “สี จิ้นผิง”
การจัดประชุมโต๊ะกลมครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในรอบ 100 ปี เพราะสามารถมองเห็นจุดเด่นใหม่สุด ความทันสมัยของโลก “สี จิ้นผิง” มิเพียงเน้นย้ำให้ลงรากหยั่งลึกก้าวย่างเหยียบบาทระดับใหม่แห่งข้อริเริ่มของ “แถบทาง” หากยังประสงค์แก้ไขปัญหาและความท้าทายมากมายของโลก อันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ของโลก
สุนทรพจน์ของสี จิ้นผิง ตอนหนึ่งได้สะท้อนให้ประชาคมโลกเห็นว่า ข้อริเริ่ม “แถบทาง” เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของโลก และก็มีผลกระทบต่อสังคมโลกโดยรวม
ปัจจุบันโลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยน แปลงครั้งยิ่งใหญ่ในรอบ 100 ปีที่ไม่เคยมีมาก่อน เป็นการชี้ให้เห็นว่า “สี จิ้นผิง” มองเห็นการณ์ไกล สายตาแหลมคมมองทะลุสถานการณ์ของโลก จึงเสมือนทำการเปลี่ยนแปลงโลกในเชิงลึกและกว้างโดยปริยาย และมาทันเวลา
การที่สหรัฐเปิดสงครามการค้าจีน เป็นพฤติกรรมสวนทางกับโลกาภิวัตน์ ตลอดจนลัทธิอนุรักษนิยมและลัทธิฝ่ายเดียวเข้าคิวตามมา ล้วนเป็นเป้าของการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่นี้
ข้อริเริ่ม “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” คือเส้นทางแห่งโอกาส คือเส้นทางอันรุ่งโรจน์
วันเปิดประชุม สุนทรพจน์ของสี จิ้นผิง มีอยู่ 2 ประเด็นที่เรียกความสนใจมากทีเดียว
1.เน้นเรื่องลัทธิฝ่ายเดียว
2.ประเทศจีนจะใช้มาตรการอย่างเป็นซีรีส์ทำการปฏิรูปประเทศขนาดใหญ่
ความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของ “สี จิ้นผิง” นั้น มีจุดเด่นคือประเด็นไม่เห็นด้วยกับลัทธิอนุรักษนิยม และลัทธิฝ่ายเดียวที่กำลังโงหัวขึ้น หากสนับสนุนลัทธิหลายฝ่าย
เขากล่าวว่า ร่วมกันสร้าง “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” ก็เพื่อให้สอดคล้องกับกระแสเศรษฐกิจโลกาภิวัตน์ กระแสความเปลี่ยนแปลงแห่งระบบการปกครอง และความประสงค์ของประชาคมโลกที่อยากเห็นวันใหม่ที่ดีกว่า ฉะนั้น จึงควรยืนอยู่บนพื้นฐานแห่งการร่วมทุกข์ร่วมสุข ร่วมสร้างลัทธิหลายฝ่าย ไม่ควรทำการปิดล้อมใดๆ
ข้อริเริ่ม “แถบทาง” แหล่งกำเนิดคือประเทศจีน แต่โอกาสเป็นของประชาคมโลก
ฉะนั้น จึงควรนำเอาจุดเด่นของแต่ละประเทศมารวมกันเป็นพลังในการพัฒนาต่อไป
แต่ก็ไม่เคยได้ยิน “สี จิ้นผิง” พูดว่า “China First” หากเน้นแต่ “แถบทาง” อันเป็นแนวทางในการเปิดเวทีใหม่เพื่อขยายการเติบโตทางเศรษฐกิจ การค้าระหว่างประเทศ
หากเจาะลึกลงไปถึงรากของข้อริเริ่ม “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” คือได้เกิดขึ้นไล่เลี่ยกับการปฏิรูปเปิดประเทศ กล่าวได้ว่า “ถ้าไม่มีการปฏิรูป ก็ไม่มีข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง”
อุปมาเหมือนกับ “น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า”
วันนี้ “สี จิ้นผิง” ยืนยันว่า ประเทศจีนจะต้องทำการปฏิรูปในเชิงลึกและวงกว้าง พร้อมกับยกระดับมาตรฐานการทำงานชิ้นนี้ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และต้องประสบความสำเร็จ
ท่ามกลางภาวะสหรัฐเปิดสงครามการค้าคนทั่วโลกได้รับผลกระทบโดยทั่วหน้า “สี จิ้นผิง” องอาจกล้าหาญประกาศปฏิรูปเชิงลึก เป็นการแสดงถึงความแน่วแน่เด็ดขาดของผู้นำจีน
การประชุมครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เข้าร่วมด้วย
การทำหน้าที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ครั้งนี้ ทำให้ประเทศไทยมีสีสันในเวทีสากลมิใช่น้อย
อนึ่ง ระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์มีความสัมพันธ์กับรัฐบาลจีนด้วยดีมาโดยตลอด สร้างคุณูปการ ให้ความร่วมมืออันเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก การให้ประเทศไทยเป็นตัวเชื่อมจีนและอาเซียน ตลอดจนการกระชับสัมพันธไมตรีระหว่างไทย-จีนที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น เสมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน
และแม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มิใช่นักการทูต และไม่เคยทำงานด้านต่างประเทศมาก่อน แต่เอาจริงทำหน้าที่ในเวทีสากลดีกว่านักการทูตอาชีพบางคน ทุกอิริยาบถน่ารักน่าเอ็นดู
ดูได้จากการเดินเข้าพบจับมือกับสี จิ้นผิง กิริยาสง่างาม มีสัมมาคารวะ ดูมีราคา น่าเชิดชู
ดูได้จากการประชุมระดับทวิภาคีกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ก็ตั้งอกตั้งใจฟังถ้อยด้วยความชื่นมื่น
ผลงานของ พล.อ.ประยุทธ์ในครั้งนี้ เสมือนการสะสมแต้มบัตรเครดิตสากล
บัดนี้ “การประชุมขั้นสุดยอดหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางครั้งที่ 2” ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว
ถือเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของรัฐบาลจีนอีกครั้งหนึ่ง เป็นยาม “ขาขึ้น” ของจีนโดยแท้
ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช