สถานีคิดเลขที่ 12 : กล่องดวงใจหัวเว่ย : โดย ชุมฉันท์ ชำนิประศาสน์

้hongmeng

สํานักข่าวเอเอฟพีเรียกการเล็งเป้าของรัฐบาล นายโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ใส่จีนในสงครามการค้า ว่าเป็น “ซัลโว”

เพื่อจะสื่อถึงการระดมยิง ไม่ใช่ยิงนัดเดียวแล้วได้นกสองตัว แต่รัวยิงเป็นชุด ตั้งแต่เปิดฉากสงครามอย่างเป็นทางการ ด้วยการตั้งภาษีสินค้าจีน มูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นสองเท่า

กระทั่งมาถึงศึก “หัวเว่ย” ผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดของโลก เอเอฟพีใช้คำว่า “สหรัฐยิงธนูใส่จุดตายของอคิลิส”

ถ้าแปลเป็นไทยให้นึกภาพง่ายกว่า คือการส่งหนุมานไปจัดการ “กล่องดวงใจของทศกัณฐ์”

Advertisement

รัฐบาลสหรัฐเหมือนจะผลักดันให้ “กูเกิล” ยักษ์ใหญ่ในวงการสื่อสารสัญชาติอเมริกันเป็นหนุมานในศึกนี้

กูเกิล แจ้งว่าต้องทำตามคำสั่งประกาศิตของประธานาธิบดี ตัดขาดทางธุรกิจกับหัวเว่ย เพราะเป็นกฎหมาย

คำสั่งดังกล่าวถึงขั้นเป็นประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในการป้องกันเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของประเทศ ห้ามบริษัทเอกชนในสหรัฐใช้งานระบบโทรคมนาคมจากต่างชาติ เพราะเชื่อว่ามีความเสี่ยงเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคง

Advertisement

แน่นอนว่าในบริษัทเอกชนที่เข้าข่ายนั้น “หัวเว่ย” ยืนหนึ่งในเป้าหมายการยิงของสหรัฐ แม้ว่าทั้งหัวเว่ยและรัฐบาลจีนต่างปฏิเสธความเกี่ยวข้องกัน แต่สหรัฐก็กล่าวโจมตีเครือข่าย 5จี ของหัวเว่ยมาโดยตลอด

ความเคลื่อนไหวล่าสุดครั้งนี้ ทำให้ผู้ใช้มือถือหัวเว่ยหวั่นไหวไปทั่ว เพราะรายงานข่าวระบุว่า เมื่อกูเกิลเปิดตัวระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์รุ่นใหม่ในปีนี้ เครื่องสมาร์ตโฟนและแท็บเล็ตอื่นๆ ของหัวเว่ยจะอัพเดตด้วยไม่ได้ ส่วนแอพพลิเคชั่นยอดนิยมอย่าง YouTube และ Maps ก็จะใช้ไม่ได้ด้วย

แม้ต่อมากระทรวงพาณิชย์สหรัฐแจ้งขยายเวลาผ่อนปรน (การเล่นงาน) ออกไปอีก 90 วัน เพื่อให้เวลาแก่ผู้ใช้หัวเว่ยตั้งตัว ส่วนบริษัทหัวเว่ยชี้แจงและให้ความมั่นใจลูกค้าว่า ขณะนี้มือถือทั้งรุ่นเก่ารุ่นใหม่ยังอัพเดตได้ปกติ

แต่ในใจผู้คนที่กำลังจะซื้อสมาร์ตโฟนหรือแท็บเล็ตย่อมคิดหลายรอบว่าจะซื้อหัวเว่ยหรือออเนอร์ แบรนด์อีกตัวในเครือ ดีหรือไม่

แม้มีข่าวแทรกเข้ามาว่า หัวเว่ยซุ่มพัฒนาระบบปฏิบัติการของตนเองอยู่แล้วในชื่อ หงเหมิง ตั้งแต่ปี 2555 คล้องจองกับคำประกาศว่าหัวเว่ยจะการสร้างระบบซอฟต์แวร์ที่ปลอดภัยและยั่งยืนต่อไป แต่อาการหวั่นไหวคงไม่จางลงไปง่ายๆ

ทางออกของผู้บริโภคส่วนใหญ่อาจตัดปัญหาว่า ซื้อยี่ห้อที่ไม่โดนเล่นงานน่าจะดีกว่า

ดังนั้นตามการคาดการณ์ของเหล่านักวิเคราะห์ หัวเว่ยน่าจะโดนผลกระทบในระยะสั้น อย่างน้อยคือการครองสัดส่วนการขายสมาร์ตโฟนอันดับสองของโลก ราว 15% เป็นรองซัมซุง (23%) และแซงหน้าแอปเปิล

การตอบโต้ของ เหริน เจิ้งเฟย ประธานผู้ก่อตั้งหัวเว่ย นั้นสมเป็นแม่ทัพใหญ่ของบริษัทที่ชาวจีนภาคภูมิใจ เมื่อกล่าวว่า สหรัฐกำลังประเมินความแข็งแกร่งของหัวเว่ยต่ำเกินไป ความจริงแล้วการผ่อนปรน 90 วันก็ไม่ได้มีความหมายมากนัก เพราะหัวเว่ยพร้อมอยู่แล้ว และถึงอย่างไร เทคโนโลยี 5จี ของหัวเว่ยจะไม่ได้รับผลกระทบ เพราะเจ้าอื่นๆ ยังไล่ตามหัวเว่ยไม่ทันใน 2-3 ปีนี้

กูการพูดข่มกลับเช่นนี้ อาจทำให้คู่ต่อสู้ต้องคิดดีๆ ว่าหัวเว่ยอาจมีกล่องดวงใจอยู่หลายกล่องก็ได้

ชุมฉันท์ ชำนิประศาสน์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image