เดินหน้าชน : ตั้ง‘วอร์รูม’สู้‘เทรดวอร์’ : โดย สุรพล สุประดิษฐ์ ณ อยุธยา

แม้ว่าหลายคนจะยังคงไม่สบอารมณ์กับผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 ในหลายประเด็น

จนทำให้การจัดตั้งรัฐบาลทำได้ทุลักทุเลอย่างที่เห็น

แต่ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างถูกเขียนไว้ในกฎกติกา เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ จากผู้มีอำนาจ

เพื่อต้องการให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมา

Advertisement

และในเมื่อคนส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นวิถีแห่งประชาธิปไตย

รัฐธรรมนูญผ่านการทำประชามติ เราก็ควรยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น

แต่ถ้าถามว่าควรจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปหรือไม่

Advertisement

เชื่อว่าหลายคนคงอยากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับสืบทอดอำนาจ คสช.

ไม่ใช่เพราะจงเกลียดจงชังทหาร

แต่เพราะเชื่อว่าทหารควรจะอยู่ในที่ในทางของตัวเองอย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี ในฐานะคนกลาง

ไม่ใช่เอาตัวลงมาเกลือกลั้วกับการเมืองเช่นนี้ เพราะจะยิ่งมีแต่ความเสื่อมลงทุกวัน

เพราะจะกลายมาเป็นคู่ขัดแย้ง เหมือนที่กำลังเริ่มเห็นเค้าลางแล้วในขณะนี้

ทางที่ดีเมื่อสิ่งที่เคยใช้แอบอ้างว่าเข้ามาเพื่อต้องการให้เกิดความสงบ และเพื่อต้องการปฏิรูป

เมื่อเวลาผ่านไป ทำให้เห็นแล้วว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีอยู่จริง

เป็นเพียงแค่ข้ออ้างเข้ามายึดอำนาจ เพราะไม่เช่นนั้นเมื่อจบแล้วก็ควรจะแยกย้ายกันกับกรมกอง

แต่ยังมาสืบทอดอำนาจต่อไปอีก

จึงยิ่งสุ่มเสี่ยงจะเกิดหายนะตามมายิ่งนัก

ที่สำคัญการเข้ามาบริหารประเทศครั้งนี้ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี คนที่ 29 สมัยที่ 2 ไม่ง่ายเหมือนที่ผ่านมา

เพราะครั้งนี้ไม่มี ม.44 ไม่มี คสช.หนุนหลัง มีเพียง ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลที่มีเสียงปริ่มน้ำ

แต่ยังมี ส.ว.ที่ พล.อ.ประยุทธ์แต่งตั้งเข้ามา เพื่อเลือกตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรี

และยังมีอำนาจคัดเลือกองค์กรอิสระที่จะเป็นฐานอำนาจให้กับ พล.อ.ประยุทธ์เพื่อให้อยู่ในอำนาจได้นานๆ

และบางครั้งบางคราวอาจเอาไว้ทำลายคู่แข่งด้วยหรือไม่ ยังคงเป็นที่สงสัยกันอยู่

จึงเป็นที่มาของเสียงเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับสืบทอดอำนาจฉบับนี้

เพื่อไม่ให้ต้นไม้พิษนี้ฝังรากลึกลงไปมากกว่านี้

ดังนั้นไม่ว่าจะแก้ยากเย็นแค่ไหน ก็ควรจะต้องแก้ให้ได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

เพราะมิฉะนั้นแล้ว ความเหลื่อมล้ำทางสังคมระหว่างคนเพียง 1% ที่เป็นกลุ่มคนรวยที่มีอำนาจเสวยสุขอยู่ในอำนาจ

กับประชาชนที่ต้องปากกัดตีนถีบเพื่อความอยู่รอดอีก 99% จะยิ่งถ่างกว้างขึ้นไปอีก

แต่อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเหตุการณ์เลยเถิดมาถึงขนาดนี้แล้ว ก็ต้องให้ทุกสิ่งเดินไปตามฉันทานุมัติของเสียงส่วนใหญ่

ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ต้องดำเนินการต่อไป

แต่เรื่องสำคัญคือปัญหาปากท้องประชาชนจะต้องมาก่อน

เพราะดูจากสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจของไทยขณะนี้ จะเห็นว่าประชาชนกำลังเดือดร้อนอย่างหนัก

และขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่ง

จากปัญหาสงครามการค้าจีนกับสหรัฐ ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย คาดว่าจะถึงขั้นดิ่งเหวกันเลยทีเดียว

นั่นหมายความว่ารายได้เข้าประเทศกว่า 70% จะต้องได้รับผลกระทบไปเต็มๆ

และสถานการณ์เช่นนี้นักวิเคราะห์หลายสำนักฟันธงตรงกันว่า สงครามการค้าครั้งนี้จะยืดเยื้อยาวนานกว่าที่คิดแน่นอน

ดังนั้นบรรดานักการเมืองที่จะเข้ามาเป็นรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ

ถ้าเสร็จเรื่องการแย่งเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวง เพื่อปากท้องของตัวเองและพวกพ้องกันแล้ว

ก็ขอให้หันมาเอาใจใส่กับปัญหาปากท้องของชาวบ้านตาดำๆ กันบ้าง

ควรจะตั้งวอร์รูมขึ้นมาเพื่อรับมือกับปัญหาสงครามการค้าโดยเฉพาะ เพื่อประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและจริงจังมากกว่าที่เป็นอยู่

ถ้าคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เหมือนกับที่ทั่วโลกกำลังหวาดหวั่นกันในขณะนี้

ดีกว่าปล่อยให้ปัญหาลุกลามบานปลาย กลายเป็นวิกฤตด้านเศรษฐกิจอีกเรื่อง

หลังจากเจอวิกฤตการเมืองกันมาจนสะบักสะบอมกันแล้วก็ตาม

สุรพล สุประดิษฐ์ ณ อยุธยา

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image