สถานการณ์กำลังบีบและกดดันให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จำเป็นต้องเข้าไปรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐอย่างยากจะหลีกเลี่ยงได้พ้น
เพราะนับวันอำนาจนำมิได้เป็นของหัวหน้าและเลขาธิการพรรค
ความจริง ก่อนหน้านี้มีการข้ามสายบังคับบัญชาภายในพรรคพลังประชารัฐตลอดเวลาอยู่แล้ว ไม่ว่าหัวหน้า ไม่ว่าเลขาธิการพรรคเสมอเป็นเพียง “นอมินี”
แต่หลังวันที่ 24 มีนาคม มีความเด่นชัด
ไม่เพียงแต่ภายในพรรคพลังประชารัฐจะ “ข้ามหัว” หัวหน้าและเลขาธิการพรรค หากแม้กระทั่งคนนอกพรรคก็เริ่มประจักษ์
ประจักษ์ว่า หัวหน้าและเลขาธิการพรรคไม่มี “ความหมาย”
ที่เด่นชัดเป็นอย่างมากก็คือ ท่าทีของ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ท่าทีของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล เมื่อเห็นบทบาทลูกแหล่งตีนมือในพรรคพลังประชารัฐออกอาการ
เท่ากับยืนยันว่า แวดวงการเมืองต้องการ “ตัวจริง” ไม่ใช่ “นอมินี”
ท่าทีจากพรรคประชาธิปัตย์ ท่าทีจากพรรคภูมิใจไทย อาจจะพอเข้าใจได้เพราะ 2 พรรคนี้เก่าแก่และเป็นพรรคขนาดกลาง
มีศักดิ์ศรีอย่างเพียงพอ มีความจัดเจนอย่างเพียงพอ
แต่พลันที่มีปฏิกิริยาจากแกนนำบางส่วนภายในพรรคพลังประชารัฐ 1 จากตัวแทนของ ส.ส.ภาคใต้และ 1 จากตัวแทนของ ส.ส.อีสานตอนบน
คราวนี้ก็รู้แล้วว่าพวกเขาหัวหน้าและเลขาธิการพรรคอย่างไร
ตรงนี้เองที่ทำให้พรรคที่เคยแสดงท่าทีว่าร่วมกับพรรคพลังประชารัฐตั้งแต่ต้นอย่างพรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย และพรรคชาติพัฒนา เริ่มหงุดหงิด
นี่ย่อมเป็นพรรคขนาดมี ส.ส.เพียง 2 หรือ 3
ท่าทีที่นักการเมืองทั้งภายในพรรคและภายนอกพรรคพลังประชารัฐแสดงออกเขามิได้ต้องการสื่อกับหัวหน้าหรือเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ
หากเป้าหมายอยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เท่านั้น
ถ้าประเมินการกำหนดบทบาทในแบบของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ทำเสมือนกับไม่รู้อะไรสักอย่างในทางการเมือง
ท่วงท่า อาการเช่นนั้นอาจได้รับการชมเชย
ชมเชยเพราะว่าเท่ากับเป็นเงาสะท้อนแห่งอาการ “งำประกาย” มีแต่แสดงว่าไม่มี ส่งผลให้ที่เห็นว่าไม่มีกลับมี
แต่ภายหลังจากสถานการณ์วันที่ 24 มีนาคม เริ่มไม่ใช่แล้ว
ท่วงท่าอาการที่มีคำว่า “ไม่รู้” ติด 2 ริมฝีปากของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อาจซ่อนแฝงเงื่อนงำบางประการ
แต่ในที่สุดก็เท่ากับชี้ไปยังผู้รู้แท้จริงว่าเป็นใคร
นั่นเท่ากับว่าแอกที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เคยแบกหนักตั้งแต่ก่อนและหลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เริ่มมีการผ่องถ่าย
ผ่องถ่ายไปวางบนบ่าของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ในที่สุด ไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะไม่ต้องการหรือจะต้องการ แต่ตำแหน่งหัวหน้าพรรคต้องเป็นของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แน่นอน
เพราะหัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน เริ่มหมดบทบาท
ที่สำคัญก็คือ สังคมมองข้ามความหมายของหัวหน้าพรรค เลขาธิการคนปัจจุบันไปอย่างสิ้นเชิง และเห็นแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เท่านั้น
เพราะอำนาจอยู่ในมือของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มิใช่ใครไหนอื่น