| ผู้เขียน | สมหมาย ปาริจฉัตต์ |
|---|
สิ่งที่เกิดขึ้นในเวทีต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีของรัฐบาลเสาหลัก 250 ส.ว.สะท้อนด้านมืดของการเมืองไทย นักการเมืองไทยและประเทศไทย อีกครั้ง
กระทรวงศึกษาธิการแทนที่จะเป็นกระทรวงแรกๆ ที่ถูกจับจอง แย่งกันรับผิดชอบ กลับกลายเป็นกระทรวงเผื่อเลือกอีกเช่นเคย สวนทางกับสิ่งที่พรรคและนักการเมืองทั้งหลายคุยขโมงโฉงเฉงในเวทีหาเสียง
ปากก็ว่า จะให้ความสำคัญกับเรื่องคน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นปัจจัยหลักของการเพิ่มศักยภาพความสามารถในการแข่งขัน เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ต้นๆ ของประเทศ
แต่ในความเป็นจริง กระทรวงที่มีความหมายอย่างยิ่งยวดนี้ หาได้อยู่ในสายตาของพรรคใดเป็นพิเศษ ประกาศขอจับจองเป็นอันดับแรกแม้แต่พรรคเดียว อนาคตสังคมไทยจะเป็นเช่นไรต่อไปจึงมองภาพได้ไม่ยาก
แม้กระทั่งพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งทำท่าว่าจะเดินหน้านโยบายด้านการศึกษาอย่างจริงจัง หลังจากมีสัญญาณการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นต้นปี 2562
พรรคประชาธิปัตย์ออกตัวแถลงวันที่ 15 ธันวาคม 2561 ว่าต้องการให้การเลือกตั้งเป็นโอกาสของประชาชนและประเทศ ไม่ต้องการให้เป็นเพียงพิธีกรรมสำหรับนักการเมืองไม่กี่ร้อยคนที่มาต่อรองเรื่องอำนาจและผลประโยชน์
เรื่องเศรษฐกิจ ปัญหาเฉพาะหน้า เรื่องปากท้องของประชาชน พรรคประชาธิปัตย์มองว่าการเปลี่ยนแปลงที่มีความยั่งยืน มองการลงทุนสำหรับอนาคต เป็นปัจจัยที่จะนำไปสู่ความก้าวหน้าของประเทศและสังคมก็คือ คน
ดังนั้นพรรคจึงเลือกแถลงนโยบายด้านการศึกษาเป็นอันดับแรก “ยกเครื่องการศึกษาไทยและคุณภาพเด็กไทยเพื่อขจัดความเหลื่อมล้ำ”
คุณลักษณะเด็กไทย 7 ประการ 1.สุขภาพดี 2.มีทักษะการคิดวิเคราะห์ 3.มีทักษะ 2 ภาษา 4.มี
ทักษะการใช้เทคโนโลยี 5.มีคุณธรรมและจิตสาธารณะ 6.เข้าใจสิทธิและหน้าที่ และ 7.มีทักษะชีวิต
โดยจะดำเนินนโยบาย 10 ข้อ ได้แก่ 1.เกิดปั๊บรับสิทธิเงินแสน ด้วยการจ่ายเบี้ยเด็กเข้มแข็ง อายุ 0-8 ปี 1,000 บาทต่อเดือน แบบถ้วนหน้าเพื่อดูแลด้านโภชนาการอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ
2.ศูนย์เด็กเล็กคุณภาพดีทั่วไทย จัดการศึกษาปฐมวัยให้มีคุณภาพ พัฒนาหลักสูตรที่เน้นกระบวนการคิด เพิ่มครูปฐมวัย
3.อาหารเช้า-กลางวัน ฟรีมีคุณภาพ (อนุบาล-
ม.3) สนับสนุนค่าอาหารเช้าและอาหารกลางวันฟรี (อนุบาล-ม.3) ผ่านสถานศึกษา โดยคำนึงถึงคุณค่าทางโภชนาการที่นักเรียนจะได้รับ
4.เด็กทุกคนพูดภาษาอังกฤษได้
5.ปรับหลักสูตรเพื่อโลกอนาคต ระดับประถมศึกษาเน้นวิเคราะห์และท่องจำ มัธยมต้นเน้นค้นพบตัวเอง มัธยมปลายเลือกเรียนตามถนัดและตามเป้าหมาย และระดับมหาวิทยาลัย ลดภาระและขั้นตอนการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
6.เรียนฟรีถึง ปวส.จบแล้วมีงานทำ
7.การศึกษาตลอดชีวิต คูปองเพิ่มทักษะสำหรับผู้ใหญ่ สนับสนุนค่าฝึกอบรมเพื่อการพัฒนาทักษะ ฝีมือแรงงานผ่านการให้คูปอง
8.คืนครูให้นักเรียน ด้วยการลดภาระงานครูที่ไม่เกี่ยวกับการเรียนการสอน ปรับวิธีการประเมินครูไปที่ตัวนักเรียน
9.กองทุน Smart Education เปิดการศึกษายุคใหม่ EdTech และ Social Enterprise
10.กระจายอำนาจให้โรงเรียน
คณะผู้แถลงนโยบายเหล่านี้มีใครเป็นใครบ้าง คงจำกันได้ดี ที่แน่ๆ เรื่องสำคัญระดับนี้ต้องผ่านการสุมหัวคิด ประชุมปรึกษาหารือ กลั่นกรองกันมาอย่างดี ตั้งแต่ระดับคณะทำงานจนถึงกรรมการด้านยุทธศาสตร์กำหนดนโยบายเพื่อการหาเสียง
แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไป อะไรๆ ก็เปลี่ยนไป สิ่งที่เคยประกาศไว้เป็นอันดับต้นๆ หายเข้าไปในสายลม
จึงหนีไม่พ้นคำครหา ไม่เคารพเสียงประชาชนที่เลือก ปชป.กว่า 3.5 ล้านเสียง ปล่อยเกาะอดีตหัวหน้าพรรค
เมื่อถึงเวลาเจรจายื่นเงื่อนไขเข้าร่วมรัฐบาล 4 ข้อ ในจำนวนนั้นไม่ปรากฏร่องรอยว่าจะยืนหยัดเดินหน้าเรื่องการศึกษาอย่างแข็งขัน ขอเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาฯเป็นอันดับแรก ไม่เช่นนั้นไม่ร่วมเป็นอันขาด
ในความเป็นจริงประชาธิปัตย์ จึงไม่ได้แตกต่างจากพรรคอื่นๆ ทั่วไป
ทั้งๆ ที่ว่าไปแล้วพรรคการเมืองที่ได้นั่งเก้าอี้กระทรวงศึกษาธิการรอบนี้น่าจะโชคดีที่สุด เพราะมีตัวช่วย มีกลุ่มคนช่วยคิดแนวทางวางไว้ให้ล่วงหน้า คือ คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา (กอปศ.)
ถึงแม้ว่าจะเป็นส่วนหนึ่งขององคาพยพแม่น้ำห้าสาย แต่มองลึกเข้าไป เป็นนักคิด นักการศึกษา นักวิชาการด้านต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นที่ยอมรับ
ผู้รับผิดชอบคนใหม่แทบไม่ต้องคิดอะไรให้พิเรนทร์ แปลกพิสดาร เพื่อโชว์ว่าข้าฯก็มีของดีไม่แพ้ใครเหมือนกัน
เพียงแค่เลือกนำเอาสิ่งที่ กอปศ.เสนอไว้มาตบแต่ง ผลักดันให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น
ขณะเดียวกันนำประเด็นที่ยังมีกลุ่มคนเห็นต่าง ออกมาเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นเพื่อหาบทสรุป และเดินหน้าต่อไป
แต่น่าเสียใจและน่าเศร้า ไม่มีใครอยากได้กระทรวงนี้ เมื่อนักการเมือง พรรคการเมือง ยังไม่เปลี่ยนจะให้ผู้คนยกย่องเชิดชู ไม่ตำหนิติเตียนว่า ดีแต่พูด มองแต่ประโยชน์เฉพาะหน้าระยะสั้น ไปได้อย่างไร
