‘โดนัลด์ ทรัมป์-สี จิ้นผิง’ซัมมิต : โดย ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช

ประมุขของประเทศจีนและสหรัฐได้สนทนากันทางโทรศัพท์โดย “สี จิ้นผิง” และ “โดนัลด์ ทรัมป์” ได้ตกลงยินยอมพบปะกันในระหว่างการประชุม G20 ที่เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ณ วันที่ 28-29 มิถุนายน 2019

ท่ามกลางภาวะที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” เริ่มมีการเคลื่อนไหวหาเสียงเพื่อป้องกันตำแหน่ง ประธานาธิบดี จึงต้องการข่าวดีอันเป็นการกระตุ้นตลาดหุ้น นักลงทุนได้ “สปอตไลต์” ไปที่การเจรจาทางการค้า เพื่อต้องการทราบว่าความสัมพันธ์จะมีโอกาสคืนสู่สภาพปกติหรือไม่

พอจับประเด็นถ้อยแถลงของจีนได้ว่า ประเด็นที่ปักกิ่งประสงค์จะเจรจามากที่สุด มิใช่สงครามการค้า มิใช่ปัญหา “หัวเว่ย” ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะทาง หากเป็นประเด็น

“ปัญหาฐานรากของการพัฒนาความสัมพันธ์จีน-สหรัฐ”

Advertisement

เป็นประเด็น “มหัพภาค” ถ้าเป็นมวยก็คือ “มวยสนาม”

ย้อนมองอดีตเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม การเจรจาจีน-สหรัฐล้มเหลว “โดนัลด์ ทรัมป์” เพิ่มแรงกดดันให้แก่จีน นอกจากปรับพิกัดอัตราภาษีสินค้าจีนนำเข้าเป็น 25% ยังทำการเชือด “หัวเว่ย” แต่ปักกิ่งไม่ยอมลดราวาศอก ตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐ การเจรจาจึงเกิดการชะงักงัน

การประชุมสุดยอด จี20 จึงกลายเป็นโอกาสโดยปริยายให้ประมุขทั้งสองมาพบกัน

Advertisement

เมื่อไม่นานมานี้ “โดนัลด์ ทรัมป์” กล่าวว่า ถ้า “สี จิ้นผิง” ไม่มาประชุม จี20 ครั้งนี้ สหรัฐก็จะปรับขึ้นภาษีสินค้าจีนที่เหลืออีก 3 แสนล้านดอลลาร์ ให้เป็น 25% ทั้งหมด

เมื่อความจริงปรากฏว่า ตั้งแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจสึนามิ ผู้นำสูงสุงของจีนไม่เคยขาดการประชุม จี20 แม้แต่ครั้งเดียว

“ทรัมป์” ก็มีอาการเพ้อเจ้อโดยกล่าวว่า การที่ “สี จิ้นผิง” จะมาหรือไม่มาประชุมนั้น มิใช่ประเด็นสำคัญ ถ้าไม่มา สหรัฐก็จะเรียกเก็บภาษีสินค้าจีนเป็นเงินนับหลายหมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน เป็นการแสดงอำนาจของผู้นำที่ทรงพลังยิ่ง

แม้สื่ออเมริกันชี้ว่า การที่วอชิงตันเรียกเก็บภาษีสินค้าจีนนั้น ความจริงคือการ “เช็กบิล” กับผู้นำเข้าของสหรัฐโดยตรง แม้ภาษีศุลกากรสามารถตัดกำลังการแข่งขันของจีน แต่ก็เป็นการสูญเสียทางเศรษฐกิจของสหรัฐมิใช่น้อย

“แลร์รี่ คุดโลว์” ที่ปรึกษาเศรษฐกิจทำเนียบขาวยอมรับว่า ผู้ที่รับภาระภาษีศุลกากรส่วนใหญ่คือ ธุรกิจสหรัฐและผู้บริโภค ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นอเมริกันชน

ส่วนการนัดพบระหว่างประมุขสองประเทศ สหรัฐมิได้บอกว่า ฝ่ายใดเป็น “ผู้เสนอ” แต่สำนักข่าวซินหัวของจีนรายงานว่า “สี จิ้นผิง” เป็น “ผู้รับนัด” ในการสนทนาทางโทรศัพท์

การสนทนาทางโทรศัพท์ของประมุขสองประเทศ เป็นเหตุกระตุ้นให้ตลาดหุ้นสหรัฐกระเตื้องขึ้น และแล้ว “โดนัลด์ ทรัมป์” ก็ประกาศในวันเดียวกันอย่างเป็นทางการว่าจะสมัครรับเลือกเป็นประธานาธิบดีอีก 1 สมัย

“โดนัลด์ ทรัมป์” ยืนยันว่าเศรษฐกิจสหรัฐในปัจจุบัน “ดีมากจนเป็นที่อิจฉาของชาวโลก”

ทว่า จากผลสำรวจหลายสำนักล่าสุดปรากฏว่าความนิยมของ “โดนัลด์ ทรัมป์” เป็นรองจาก “โจ ไบเดน” อดีตรองประธานาธิบดีพรรคเดโมแครต โดยทิ้งกันประมาณ 10%

ก็เพราะปัญหา “เชือดหัวเว่ย” จึงกลายเป็นตำบลกระสุนตก แม้กระทั่งอเมริกันชนก็ไม่พอใจพฤติกรรมของ “ทรัมป์” การป้องกันตำแหน่งครั้งนี้จึงเป็นการแข่งขันที่น่าหวาดเสียว

เพื่อรักษาฐานเสียง จึงมีความจำเป็นที่ต้องลดดีกรีสงครามการค้าและเทคโนโลยีลงตามควร

การสนทนาทางโทรศัพท์ “ทรัมป์” มิได้พูดมากลากยาว เพียงกล่าวว่า “มีการสนทนาที่ดีมาก”

แต่ “แลร์รี่ คุดโลว์” กล่าวว่า เป็นการ “พบกันที่สำคัญมากครั้งหนึ่ง”

การที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” เป็นผู้เสนอการประชุมสุดยอดกับ “สี จิ้นผิง” นั้น ชัดเจนยิ่งว่า เพื่อหวังผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปีหน้า จึงต้องทำการเจรจาประเด็นการค้าจีน-สหรัฐ

ทว่า วัตถุประสงค์ของปักกิ่งมีความต่างจากสหรัฐ

จีน-สหรัฐสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเป็นเวลา 40 ปี ทั้งสองประเทศได้ร่วมมือในประการพัฒนาประเทศด้วยดีตลอดมา แต่เหตุการณ์ปัจจุบันได้กลับจากหน้ามือเป็นหลังมือ

เวลา 1 ปีที่ผ่านมา สหรัฐมิเพียงเปิดสงครามการค้าและเทคโนโลยี ยังแทรกแซงปัญหา “ไต้หวัน” โดยพยายามทำลายนัยของ “นโยบายจีนเดียว” และถูกกล่าวหาว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาความปั่นป่วนที่ฮ่องกง อันเกี่ยวกับร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปให้จีน ปักกิ่งสงสัยว่า สหรัฐมีเจตนาใช้ฮ่องกงเป็นเบี้ยตัวหนึ่ง เพื่อต่อรองกับจีนในประเด็นความขัดแย้งต่างๆ

วันนี้ โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยมีมาก่อน ความเจริญเติบโตของจีนทางด้านอุตสาหกรรม เป็นที่ระคายเคืองของสหรัฐ และถูกมองว่าเป็นการคุกคามและท้าทาย

จะหลีกเลี่ยงกับดัก “Thucydides trap” ได้หรือไม่

“โดนัลด์ ทรัมป์-สี จิ้นผิง” ซัมมิตในปลายเดือนมิถุนายน น่าจะมีความชัดเจนขึ้น

ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image